ขึ้นชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ แล้ว นอกจากสไตล์การคุมทีมที่ดุดัน อินเนอร์มาเต็ม และการชอบสร้างทีมด้วยนักเตะที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงการ ความโดดเด่นหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การปั้นผู้เล่นให้แจ้งเกิดในตำแหน่งใหม่ และในการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมให้กับ ลิเวอร์พูล ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา แนวทางของ คล็อปป์ ก็ยังคงเป็นแบบนั้น
ตั้งแต่ที่ย้ายมาคุม ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนตุลาคม 2015 มีนักเตะมากหน้าหลายตาเดินเข้าสู่ถิ่น แอนฟิลด์ และส่วนหนึ่งก็ถูกนายใหญ่ชาวเยอรมันจับปรับแต่งพันธุกรรมจากตำแหน่งที่เคยเล่นในตำแหน่งเดิมกับสโมสรเดิม เปลี่ยนมารับบทบาทใหม่กับสโมสรใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำได้ดีและกลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นได้รับการยอมรับในระดับยุโรปในสีเสื้อของ หงส์แดง
กลุ่มแรก ๆ ที่ถูกจับเปลี่ยนตำแหน่งได้แก่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน, ซาดิโอ มาเน และ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม โดยรายแรกนั้นย้ายมาร่วมทีมในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่งในรายแรก ตอนที่เล่นกับ ฮอฟเฟนไฮม์ นั้น เจ้าตัวแจ้งเกิดในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์ แต่พอมาอยู่ในมือของอดีตกุนซือ ดอร์ทมุนด์ เขาค่อย ๆ ถูกปรับบทบาทไปเรื่อย ๆ โดยลงเล่นเป็นหน้าต่ำในระบบ 4-2-3-1 ก่อนที่จะกลายเป็นกองหน้าตัวเป้าในระบบ 4-3-3 และมาโด่งดังเป็นพลุแตกในตำแหน่ง ”False9” พร้อมกับช่วยทีมคว้าแชมป์มากมาย
มาเน ก็เช่นกัน, ก่อนที่จะย้ายมา ลิเวอร์พูล นี่คือปีกขวาตัวเก่งของ เซาธ์แฮมป์ตัน และเคยถูกจับไปเล่นเป็นกองกลางตัวรุกอยู่บ้าง ซึ่งในปีแรกที่ย้ายมาร่วมงานกับ คล็อปป์ เจ้าตัวก็ยังได้เล่นในตำแหน่งเดิมอยู่ 1 ซีซันจากนั้นเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายมาสมทบในปีถัดมา ดาวเตะเซเนกัลก็ถูกโยกสลับมาเล่นด้านซ้ายและกลายเป็นอาวุธหนักของทีมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม, ในช่วงครึ่งฤดูกาลสุดท้ายที่อยู่กับทีม หงส์แดง, มาเน ได้มีโอกาสเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแทนที่ของ ฟีร์มีโน ที่มีอาการบาดเจ็บ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมและมีส่วนพาทีมลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการด้วย
ในรายของ ไวจ์นัลดุม จากเดิมที่เคยเล่นเป็นกองกลางตัวรุกที่ นิวคาสเซิล แต่เมื่อมาอยู่ในมือของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเขาก็กลายเป็นมิดฟิลด์ผึ้งงานที่ทีมขาดไม่ได้ในระบบ 4-3-3 และจนทุกวันนี้ แม้จะย้ายออกไปแล้วแต่ชื่อของเขาก็ถูกพูดถึงทุกครั้งที่มีปัญหาในแดนกลาง
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คล็อปป์ คือนักปั้นมือทองคนหนึ่งของวงการ และเป็นคนที่มีแนวทางการสร้างทีมเป็นของตัวเองพร้อมกับระบบการเล่นที่ชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถรีดเร้นศักยภาพของผู้เล่นระดับธรรมดาให้กลายเป็นนักเตะชั้นยอดได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
เช่นเดียวกับในฤดูกาลนี้ แม้ว่า ลิเวอร์พูล กำลังจะมีปัญหาเรื่องฟอร์มตกอย่างหนักกันทั้งทีมและบอสใหญ่ต้องสลับปรับเปลี่ยนผู้เล่นไปมาเนื่องด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีแผนการบางอย่างอยู่ในหัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะการสร้างแนวรุกยุคใหม่หลังสิ้นสุด 3 ประสาน SMF ที่เคยสร้างชื่อสะท้านยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
หากย้อนกลับไปเมื่อซีซันก่อนถือได้ว่าเป็นปีที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสลายตัวของ 3 ประสานในแดนหน้า เริ่มจากการที่ บ็อบบี้ ฟีร์มีโน ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง โอกาสจึงเป็นของ ดิโอโก้ โชต้า อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอเพราะเจออาการบาดเจ็บรบกวนเช่นกัน จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2022 ที่ คล็อปป์ ไปดึง หลุยส์ ดิอาซ มาจาก ปอร์โต้ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมก็เกิดขึ้น
ช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง คล็อปป์ ปรับกองหน้าใหม่โดยใช้งาน ดิอาซ ยืนด้านซ้าย มาเน ยืนตรงกลาง และ ซาลาห์ ประจำการด้านขวาที่เดิม ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยจากการมีลุ้น 4 แชมป์ ก่อนที่กองหน้าเซเนกัลจะย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ และนั่นคือการล่มสลายที่สมบูรณ์แบบของ 3 ประสาน SMF
เมื่อ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จอย่างมากมายจาก มาเน-ฟีร์มีโน-ซาลาห์ ภายใต้ระบบ 4-3-3 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้า คล็อปป์ จะสร้างแนวรุกชุดใหม่ที่เดินตามรอยเท้าของสตาร์เหล่านี้ โดยการดึงกองหน้าตัวใหม่อย่าง หลุยส์ ดิอาซ และ โคดี้ กัคโป เข้ามาเสริมทัพ
ในคราวแรกทั้งแฟนบอลและกูรูต่างพากันเดาว่า นายใหญ่ชาวเยอรมันจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปใช้ระบบ 4-2-3-1 เพราะ นูนเญซ คือกองหน้าตัวเป้าชั้นเลิศ แต่ด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเราจึงไม่ได้เห็นระบบนี้อย่างจริงจัง กลายเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปตามสถานการณ์ทั้ง 4-4-2 และ 4-1-2-1-2 ถูกนำมาใช้สลับสับเปลี่ยนกันไป จนถึงช่วงปลายปีที่ คล็อปป์ ตั้งใจแน่วแน่ว่าเขาจะกลับมาใช้ 4-3-3 เหมือนเดิม
แม้ว่าจะยังตะกุกตะกักและผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้ แต่เกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คือสัญญาณที่เริ่มชัดเจนว่าบอส หงส์แดง เอาแน่กับระบบ 4-3-3 โดยเฉพาะในแนวรุกที่ความพยายามในการปลุกปั้นที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลทีละนิด
เป็นอีกครั้งที่ คล็อปป์ สร้างนักเตะด้วยการจับมาเล่นตำแหน่งใหม่ โดยให้ โคดี้ กัคโป ไปเล่น “False9” ในขณะที่ด้านซ้ายเป็นที่ของ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่แจ้งเกิดให้กับทั้งคู่เมื่อครั้งอยู่ที่สโมสรเดิม เพราะเรารู้กันว่าก่อนที่จะย้ายมายัง แอนฟิลด์ นั้น แข้งชาวดัตช์ทำประตูได้มากมายให้กับ พีเอสวี จากตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้าย ส่วน นูนเญซ นั้นก็เป็นกองหน้าตัวเป้าที่อันตรายกับ เบนฟิก้า มาก่อน
ในคราวแรกที่ทั้งคู่ย้ายมา แฟนบอลหลายคนต่างคิดว่าดาวยิงอุรุกวัยจะมาแทน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน เพื่อเสริมความคมในการจบสกอร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นปัญหาของ ลิเวอร์พูล มาโดยตลอด ส่วน กัคโป นั้นคือคนที่มาเสียบแทนในตำแหน่งของ หลุยส์ ดิอาซ ที่ได้รับบาดเจ็บ หากแต่เมื่อลงสนามจริง ๆ ทั้ง 2 คนต่างโดนสลับตำแหน่งไปมาอยู่หลายครั้ง จนมาฟอร์มดีในเกมล่าสุดนี้
ความเร็วตรงริมเส้นของ นูนเญซ ช่วยให้เขาเล่นเกมโต้กลับไปอย่างมีประสิทธิภาพและทำ 1 แอสซิสต์ให้กับ โม ซาลาห์ ในขณะที่ กัคโป นั้นก็สามารถฉีกหนีการประกบเข้าไปแท็บอินลูกเปิดของ เทรนท์ อาร์โนลด์ แบบสบาย ๆ ส่วนดาวยิงอียิปต์ก็ปั่นป่วนเกมรับฝั่งซ้ายได้ตลอดทั้งเกม
นี่คือภาพที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันซักเท่าไหร่ในฤดูกาลนี้ ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เรียกได้ว่าทั้ง นูนเญซ และ กัคโป ต้องฝ่าฟันกับเสียงก่นด่าของแฟนบอลมานักต่อนัก รวมทั้ง คล็อปป์ เองก็พยายามกระตุ้นนักเตะให้มีความเชื่อมั่นเพื่อกลับมาทำผลงานให้ได้อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น เราจึงอาจจะบอกได้ว่าฟอร์มในเกมเชือด เอฟเวอร์ตัน คือผลผลิตของความพยายามในการยกเครื่องแนวรุกตามแนวความคิดของ คล็อปป์ แต่สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือพวกเขาต้องรักษาระดับการเล่นเอาไว้ให้ได้อย่างสม่ำเสมอเพื่อยกระดับผลงานของทีมด้วย