ชัยชนะที่ส่งให้ ลิเวอร์พูล กลับมามีลุ้นติด ท็อปโฟร์ อีกครั้ง

ก่อนเกมเจอกับ นิวคาสเซิล เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น, ลิเวอร์พูล กำลังต้องการ 3 แต้มเพื่อกลับสู่เส้นทางในการลุ้น ท็อปโฟร์ และคว้าโควต้าไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า ซึ่งในระหว่างเกมการแข่งขันนั้น มีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ พร้อมสำหรับการต่อสู้อันดุเดือดในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ด้วยเช่นกัน

การกลับมายิงประตูได้ของ ดาร์วิน นูนเญซ และการยิงประตูได้ 2 เกมติดต่อกันของ โคดี้ กัคโป ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักเตะทั้ง 2 ราย รวมทั้งเพื่อนร่วมทีมด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังต้องการจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเช่นนี้

เกมที่เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน มาได้ 2-0 เมื่อสัปดาห์ก่อนจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากว่า ลิเวอร์พูล ไม่สามารถบุกไปเก็บ 3 แต้มเหนือ นิวคาสเซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งโดยตรงในการแย่งพื้นที่ UCL ได้ เพราะการยัดเยียดความปราชัยให้ “เดอะ แม็กพายส์” นั้น ถือเป็นการคว้า 6 แต้มแบบไปกลับและย่นระยะห่างในการลุ้นอันดับ 4 ได้มากขึ้นหลายเท่าตัว

แต่นอกจากเรื่องฟอร์มการเล่นและคะแนนที่กำลังไล่จี้กันอย่างสนุกในเวลานี้ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การได้ขุมกำลังเชิงลึกกลับมาใช้งานกันได้มากขึ้น หลังจากที่นักเตะตัวหลักทยอยหายเจ็บกลับมา โดยสิ่งนี้พิสูจน์ได้จากการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กล้าถอดผู้เล่นตัวหลักและเปลี่ยนตัวสำรองลงสนามถึง 4 รายในครึ่งหลังนาทีที่ 59 เพื่อปิดเกมในครึ่งชั่วโมงสุดท้าย

จริง ๆ แล้วสถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ในเกมที่ หงส์แดง พ่ายต่อ ไบรท์ตัน เมื่อเดือนก่อน แต่ครั้งนั้นเป็นการเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาเกมรุกและแสดงความไม่พอใจต่อนักเตะบางรายที่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างที่คาดหวัง ซึ่งไม่ใช่แค่เกมนั้นเกมเดียว แต่ยังรวมไปถึงอีก 2 แมตช์ที่พ่ายต่อคู่แข่งมาก่อนหน้านี้ด้วย

ดาร์วิน นูนเญซ
ดาร์วิน นูนเญซ หลังยิงประตูสุดสวย
ช่วยให้ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ นิวคาสเซิล

หากแต่ในเกมเมื่อวันเสาร์นั้น ความหมายของการเปลี่ยนผู้เล่นทีเดียว 4 คนรวดนั้นมันแตกต่างกันออกไป ถ้าไม่นับอาการบาดเจ็บของ ดาร์วิน นูนเญซ แล้ว นอกนั้นคือการส่งสัญญาณในแง่บวกทั้งสิ้น

ด้วยความที่ หงส์แดง ยังมีเกมใหญ่กับ เรอัล มาดริด รออยู่ นั่นทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องรักษาสภาพความฟิตของผู้เล่นตัวหลักอย่าง กัคโป, เฮนเดอร์สัน และ บายจ์เซติช เอาไว้ ด้วยการส่งผู้เล่นอย่าง ดิโอโก้ โชต้า, ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ เจมส์ มิลเนอร์ ลงสนาม ในขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ถูกส่งลงมาแทน นูนเญซ ที่ได้รับบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว

ซึ่งการทำเช่นนี้ในขณะที่สกอร์นำอยู่ 2-0 แน่นอนว่า มันไม่ใช่แค่การพยายามรักษาความได้เปรียบเท่านั้น แต่ คล็อปป์ ยังต้องการเรียกความฟิตให้กับแนวรุกอย่าง โชต้า และ บ็อบบี้ ที่หายจากทีมไปนานพอสมควร รวมทั้งการให้เวลากับ เอลเลียต ลงสนามอย่างต่อเนื่องและให้ มิลเนอร์ ได้ซึมซับบรรยากาศกับการกลับมาเยือนทีมเก่าของเขาด้วย

นี่คือขุมกำลังที่น่าสนใจของ ลิเวอร์พูล เพราะเมื่อทุกคนกลับมาฟิตพวกเขาก็สามารถก้าวขึ้นมาลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงได้ และที่สำคัญคือทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีตัวเลือกในแนวรุกเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมในการรับมือกับการแข่งขันที่กำลังเข้าสู่ช่วงชุลมุนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ด้วย

นิวคาสเซิล ลิเวอร์พูล
คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวสำรองถึง 4 ตัว ในนาทีที่ 58

เดอะ เร้ดส์ กำลังอยู่ในช่วงโปรแกรมสำคัญโดยพวกเขาจะลงเล่นทั้งหมด 8 นัดในช่วง 29 วันหรือเฉลี่ยต้องลงเล่น 3.6 วันต่อ 1 เกม ก่อนจะถึงช่วงพักเบรคทีมชาติในเดือนมีนาคม ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผ่านช่วงเวลาหฤโหดเหล่านี้ไปได้ก็คือ ความฟิตพร้อมของนักตะทั้งตัวหลักและขุมกำลังสำรอง

การได้แข้งอย่าง โชต้า และ ฟีร์มีโน กลับมาทันเวลา จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีและเป็นการกระตุ้นพวกที่กำลังลงสนามให้ตระหนักว่า ถ้าคุณพลาด…ก็มีคนรอเสียบตำแหน่งอยู่ เรื่องนี้อาจพิสูจน์ได้จากการที่ 3 แนวรุกอย่าง นูนเญซ-กัคโป-ซาลาห์ สามารถทำประตูได้ทุกคนใน 2 เกมหลังสุด หลังจากที่มีชื่อของแข้งโปรตุกีสและกองหน้าชาวแซมบ้ามารอกดดันอยู่ข้างสนามทั้ง 2 เกม

สำหรับในเกมกับ นิวคาสเซิล เราจะเห็นได้ว่าทั้ง โชต้า และ ฟีร์มีโน นั้นมีโอกาสมากมายในการทำประตู หากแต่ด้วยการที่ร้างสนามไปนานก็อาจทำให้ขาดความเฉียบคมไปบ้าง แต่เชื่อว่าการได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ทั้งคู่สามารถสร้างความอันตรายให้กับคู่แข่งได้เหมือนที่เคยทำมาแล้ว

อย่าลืมว่าเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา, บ็อบบี้ คือคนที่ยิงประตูได้มากที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในขณะที่ดาวเตะโปรตุกีสนั้นก็มีสถิติการทำประตูที่น่าทึ่ง โดยยิงได้ 34 ประตูจากการลงเล่น 95 นัด หากแต่ด้วยอาการบาดเจ็บให้เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมมากนักในฤดูกาลนี้

โชต้า - ฟีร์มิโน่
โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ดิโอโก้ โชต้า ในซีซั่นที่แล้ว

เราจึงอาจจะบอกได้ว่า การกลับมาของทั้งคู่ทำให้ปัญหาแนวรุกของ ลิเวอร์พูล คลี่คลายลงได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งการมี ฮาร์วีย์ เอลเลียต อยู่ข้างสนามก็ทำให้ คล็อปป์ มีทางเลือกในแดนกลางมากขึ้น ท่ามกลางการคืนฟอร์มของ 2 ตัวหลักอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ด้วย

ในขณะที่ยังมีชื่อของ นาบี เกอิต้า และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งต่างได้รับโอกาสมาแล้วในช่วงที่ทีมกำลังฟอร์มย่ำแย่ และถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวหลัก แต่ทั้งคู่ก็สามารถช่วยหมุนเวียนให้ทีมยืนระยะในการสู้ศึกทั้งภายในและภายนอกประเทศในช่วงที่เหลือได้

โชคไม่ดีนักที่ ดาร์วิน นูนญซ ได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ และอาจจะต้องหายหน้าไปซักสัปดาห์หรือมากกว่านั้น แต่อย่างน้อยการได้ตัวหลัก ๆ กลับมาก็ช่วยให้เบาใจได้อยู่บ้าง นี่ยังไม่นับพวกที่จ่อคิวคืนสนามอย่าง หลุยส์ ดิอาซ ที่ใกล้กลับมาลงซ้อมอย่างเต็มรูปแบบกันแล้ว

ในขณะที่โมเมนตั้มของ ลิเวอร์พูล กำลังกลับมาอีกครั้ง การมีขุมกำลังในมือให้เลือกใช้จึงน่าจะช่วยให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอเอาไว้ได้

พร้อมกับความหวังของ คล็อปป์ ในการพา ลิเวอร์พูล กลับมาลุ้น ท็อปโฟร์ อย่างเต็มตัวหลังจากนี้

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top