ศึก “แดงเดือด” เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเกมที่แฟนบอล ลิเวอร์พุล มีความสุขมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หลังจากพลพรรค “หงส์แดง” เดินหน้าไล่ถล่มอริตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบหมดทางสู้ด้วยสกอร์ 7-0
ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นผลการแข่งขันที่ห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ในการพบกันของทั้ง 2 ทีม แทนที่สถิติเดิม ซึ่ง ลิเวอร์พูล เคยชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 7-1 ในศึกดิวิชั่น 2 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1985 หรือ เมื่อ 128 ปีก่อน
การเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในฤดูกาลนี้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมเลยก็ว่าได้ และนี่คือ 5 เรื่องหลักที่ควรพูดถึง หลังเกมส่ง “ปีศาจแดง” กลับบ้านแบบสุดเจ็บปวด
![](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2023/03/กัคโป-ยิงประตูแรก.webp)
1. เปลี่ยน 3 ผู้เล่น และให้โอกาส ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ต่อไปใน ศึก “แดงเดือด”
คงไม่มีใครแปลกใจกับการกลับมาของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าเจ้าตัวจะฟอร์มตกตลอดทั้งฤดูกาลก็ตาม โดยกัปตันทีมวัย 32 ปี ได้โอกาสก่อน สเตฟาน บายจ์เซติช กองกลาวดาวรุ่งที่ยึดตัวจริงมาตลอดในช่วงหลัง
ขณะเดียวกัน ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ยึดตัวจริงในบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางฝั่งขวาอย่างต่อเนื่องจากเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และดาวเตะวัย 19 ปี ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ และตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ได้อย่างยอดเยี่ยม
โคดี กัคโป หัวหอกชาวดัตช์ กลับมาลงเป็นตัวจริงแทนที่ของ ดิโอโก้ โชต้า ที่ยังต้องเรียกความฟิต และจังหวะการเล่นกับมาอีกสักพัก ส่วน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กลับมายึดตำแหน่งแบ็คซ้ายแทน คอสตาส ซิมิกาส แม้ แบ็คชาวกรีซ จะทำผลงานได้ดีในเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็ตาม
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่น 3 คน ของ คล็อปป์ ไล่ตั้งแต่หลัง กลาง หน้า ทำให้ ลิเวอร์พูล ระเบิดฟอร์มพิชิต แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แบบน่าเหลือเชื่อ
![](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2023/03/กัคโป-ยิงประตูที่-2.webp)
2. โคดี้ กัคโป พร้อมก้าวขึ้นมาแทน โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่
ข่าวใหญ่กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังชัยชนะเหนือ วูล์ฟแฮมป์ตัน คือ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ดาวยิงชาวบราซิล ประกาศอำลาถิ่น แอนฟิลด์ แบบไร้ค่าตัวหลังจบฤดูกาล และตอนนี้ คล็อปป์ ก็ไม่ต้องมองหา False9 คนใหม่อีกแล้ว
คล็อปป์ เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ สำหรับการจากไปของ ฟิร์มิโน่ ด้วยการคว้าตัว กัคโป มาจาก พีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น เมื่อตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ โดย หัวหอกชาวดัตช์ แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นการลุงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า
กัคโป ออกสตาร์ทในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยบทบาท False9 ซึ่งดูเหมือนว่า เจ้าตัวจะเริ่มเข้าใจแท็คติค และเริ่มปรับตัวกับระบบของ คล็อปป์ ได้แล้ว และสถิติซัดไป 4 ประตูจาก 5 เกมลีกหลังสุดนั้น น่าประทับใจอย่างยิ่ง
อดีตเด็กปั้น พีเอสวี เคลื่อนที่ได้อย่างชาญฉลาด สัมผัสบอลแรกนิ่มนวล เทคนิคการเอาตัวรอดยอดเยี่ยม และจบสกอร์คมกริบ และทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ กัคโป สามารถเข้ามาทดแทน ฟิร์มิโน่ ได้อย่างไร้รอยต่อ
![](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2023/03/ดาร์วิน-นูนเญซ.webp)
3. ชัยชนะในเกมบิ๊กแมทช์
ลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่ได้ชนะในเกมใหญ่ได้เสมอไปในฤดูกาลนี้ แต่พลพรรค “หงส์แดง” ยกระดับการคุณภาพเล่นของตัวเองขึ้นมาพอสมควรในระยะหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ความมุ่งมั่น และแท็คติคในการเผชิญหน้าคู่ต้อสู้
การบุกไปเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนาม เซนต์ เจมส์ ปาร์ค 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะโดน เรอัล มาดริด บุกมาอัดถึงบ้าน 2-5 ซึ่งหลายคนมองว่า “หงส์แดง” จะต้องเสียกระบวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่า ยังมีมาตรฐานการเล่นที่ไว้ใจได้ และนักเตะยังมีความเชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ระดับเดียวกัน หรือทีมที่กำลังฟอร์มร้อนแรงกว่าได้
![](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2023/03/ซาลาห์.webp)
4. โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ยังคงเป็น “คิง ออฟ อิยิปต์”
ซาล่าห์ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็นอีกแล้ว แต่ปัญหาในปีนี้คือ เขาต้องเล่นร่วมกับนักเตะใหม่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ กัคโป เป็นหลัก ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับจูนเข้าหากัน และดูเหมือนว่า 3 ประสานยุคใหม่กำเนิดขึ้นแล้ว
ในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ปีกชาวอิยิปต์ แสดงให้เห็นว่า ยังเป็นนักเตะระดับโลก โดยบรรดาแนวรับ “ปีศาจแดง” ไม่สามารถหยุดเขาได้เลย และการปล่อยให้ ดาวเตะวัย 30 ปี มีพื้นที่ว่างเพียงนิดเดียวมันอาจหมายถึงการเสียประตูทันที
ซาล่าห์ ซัดไปแล้ว 22 ประตู จาก 37 เกมรวมทุกรายการ และการยิงใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด 2 ประตู ก็ทำให้เจ้าตัวขึ้นแท่นมีสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดใน พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล ด้วยจำนวน 129 ประตู
![](https://redzonelfc.com/wp-content/uploads/2023/03/กัคโป-คล็อปป์.webp)
5. ลุ้นท็อปโฟร์เต็มตัวหลังจบเกม ศึก “แดงเดือด”
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ กับผลงานที่กระท่อนกระแท่นมาตลอดในปีนี้ของ ลิเวอร์พูล แต่หลังจากไล่อัด แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน มันทำให้พลพรรค “หงส์แดง” ขยับแต้มมาตามหลังทีมอันดับ 4 อย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เพียง 3 คะแนน เท่านั้น
ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล รั้งอันดับ 5 ในตารางคะแนน ด้วยการเก็บไป 42 คะแนน จาก 25 เกม ขณะที่ สเปอร์ส มี 45 คะแนน จาก 26 เกม ซึ่งหมายความว่า หาก “หงส์แดง” เก็บชัยชนะในเกมตกค้างได้ก็จะขยับขึ้นอันดับ 4 ทันที หลังจากมีลูกได้เสียดีกว่า “ไก่เดือยทอง” ถึง 9 ประตู
ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ยังขยับแต้มมาตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือเพียง 7 คะแนนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์พอสมควร