แพะรับบาปที่ชื่อ “ฮารวีย์ เอลเลียตต์”

หลังจาก ลิเวอร์พูล สโมสรดังแห่งศึก พรีเมียร์ลีก ทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้อย่างน่าผิดหวัง ชื่อของ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวอังกฤษ กลายเป็นคนที่แฟนบอล “หงส์แดง” ถูกเพ่งเล็งเป็นลำดับต้นๆว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทีมฟอร์มย่ำแย่

ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันพ่ายแพ้ในลีกไปแล้วมากถึง 6 เกม จนหล่นมารั้งอันดับ 9 ในตารางคะแนน โดยมีแต้มห่างจากทีมอันดับ 4 อย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มากถึง 10 คะแนน ซึ่งหมายความว่า โอกาสลุ้นไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แทบจะจบลงแล้ว 

จากผลงานที่ดำดิ่งแบบน่าใจหายของ ลิเวอร์พูล สาวก “เดอะ ค็อป” หลายคนคิดว่า มันมีมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งหลักๆเป็นการมีอิทธิพลในทีมที่เพิ่มมากขึ้นของผู้ช่วยผู้จัดการทีมอย่าง เป๊ป ลินเดอร์ส มือขวาชาวดัตช์ของ คล็อปป์

ขณะเดียวกัน อีกเหตุผลหนึ่งที่กลายเป็นประเด็นพูดถึงกันคือ ฟอร์มของ เอลเลียตต์ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางฝั่งขวา โดยดาวเตะเลือดผู้ดีวัย 19 ปี ถูกมองว่า เป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนในการถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน

ความสามารถ และพรสวรรค์ของ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ไม่เคยถูกตั้งคำถาม

ทุกคนในสโมสร ลิเวอร์พูล ไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับศักยภาพ และฝีเท้าของของอดีตเด็กปั้น ฟูแล่ม เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเห็นได้จากการที่เจ้าตัวได้รับการขยายสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2027 เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ทั้งที่ในฤดูกาล 2021-22 เขาลงเล่นไปเพียง 11 เกมรวมทุกรายการ

ในฤดูกาลนี้ เอลเลียตต์ ได้รับโอกาสจาก คล็อปป์ ให้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น และกลายเป็นสมาชิกในทีมชุดแรกอย่างเต็มตัว แต่ดูเหมือนว่า เขาต้องเผชิญกับบททดสอบ และอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสอยู่มากทีเดียว

นับตั้งแต่เข้ามาทำงานในถิ่น แอนฟิลด์ เมื่อปี 2015 แผงมิดฟิลด์ของ คล็อปป์ คือจุดที่แข็งแกร่งอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการไล่เพรสซิ่งใส่คู่ต่อสู้ การชะลอเกม การบีบพื้นที่ และการเปลี่ยนจังหวะจากเกมรับเป็นเกมรุกแบบฉับไว

แน่นอนว่า นักเตะในตำแหน่งกองกลางของ ลิเวอร์พูล ยุค คล็อปป์ อาจไม่ได้มีการเล่นที่น่าตื่นเต้น หรือแสดงฟอร์มที่โดดเด่นในการสร้างสรรค์เกม แต่พวกเขาก็ต้องทำหน้าที่แทบทุกอย่างในสนามทั้งช่วยเกมรับ และเกมรุก

จินี่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ เป็น 3 กองกลางที่ลงตัวที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในช่วงหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทั้ง 3 รายเป็นคีย์แมนสำคัญในการพาพลพรรค “หงส์แดง” ประสบความสำเร็จในหลายๆรายการ

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ ไวจ์นัลดุม อำลาทีมไปในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ลิเวอร์พูล ก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคว้าตัว ติอาโก้ อัลกันตาร่า กองกลางชาวสเปน มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่ซัมเมอร์ 2020 ติอาโก้ สามารถทดแทน ไวจ์นัลดุม ได้อย่างมีมีประสิทธิภาพ แต่มันก็ไม่ใช่ในลักษณะเดียวกันกับที่ ดาวเตะชาวดัตช์เคยทำ และมันก็ส่งผลให้ เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ ต้องเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของตัวเองไปด้วย

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์

ตำแหน่งที่ไม่ถนัด กับบทบาทที่ทำได้ดี

เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล พยายามจะถ่ายเลือดกองกลางด้วยการคว้า ออเรเลียน ชูอาเมนี มาจาก โมนาโก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จหลังนักเตะเลือกย้ายไปยัง เรอัล มาดริด ซึ่งทำให้ เอลเลียตต์ ต้องถูกปรับมาเล่นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากนับตั้งแต่เกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา เอลเลียตต์ คือ ผู้เล่นเดียวในทีม ลิเวอร์พูล ที่มีส่วนร่วมเกิน 25 เกม ซึ่งบางทีมันอาจเป็นรางวัลตอบแทนที่เขาทำงานหนักมาตลอดหลังจากต้องพักยาวเมื่อปีที่แล้ว

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020-21 ที่เล่นกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในศึก เดอะ แชมปี้ยนชิพ ด้วยสัญญายืมตัว เอลเลียตต์ เล่นในตำแหน่งตัวรุกริมเส้นฝั่งขวา และระเบิดฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับคำชมมากมาย

อย่างไรก็ตาม ในตำแหน่งที่ เอลเลียตต์ โชว์ฟอร์มได้ดีนั้น มีนักเตะระดับโลกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ยืนเป็นตัวเลือกแรกอยู่แล้ว และยังไม่มีทีท่าว่า ดาวเตะชาวอิยิปต์จะถูกลดบทบาทในเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ เอลเลียตต์ จะได้ลงเล่นในตำแหน่งตัวรุกฝั่งขวาอย่างสม่ำเสมอ

สถานการณ์ดังกล่าวหมายความว่า เอลเลียตต์ ต้องถูกปรับมาเป็นกองกลาง และต้องรับภาระที่ ไวจ์นัลดุม ทิ้งเอาไว้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่แข้งวัย 19 ปี ไม่ได้โดดเด่นในการเล่นเกมรับเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ก็ยิ่งทำให้เขากลายเป็นช่องโหว่

เอลเลียตต์ จะยืนเป็นกองกลางฝั่งขวา และต้องคอบซ้อนพื้นที่แบ็คขวาของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งตลอดหลายเกมที่ผ่านมาพื้นที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นจุดอ่อนให้คู่แข่งโจมตี ลิเวอร์พูล ได้อย่างง่ายดาย

อนาคตในระยะยาวของ เอลเลียต ยังคงอยู่ที่ แอนฟิลด์ แต่บางทีมันก็ควรถึงเวลาแล้วที่ คล็อปป์ และทีมสตาฟฟ์ของ ลิเวอร์พูล จะเลิกใช้งานเขาในตำแหน่งที่ไม่ถนัดจนกลายเป็นจุดบอดให้ฝั่งตรงข้ามเล่นงาน และกลายเป็นจุดที่โดนแฟนบอลตัวเองโจมตี

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top