เคอร์ติส โจนส์ ‘ดาวรุ่งตลอดกาล’ และเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

เคอร์ติส โจนส์ แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับลูกยิงปั่นโค้งสุดสวยใส่ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ พร้อมด้วยคุณสมบัติที่หาได้ยากในบรรดาแข้งดาวรุ่งยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการครองบอล การพาบอลเข้าสู่พื้นที่อันตรายของคู่ต่อสู้ รวมทั้งการทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายดังเช่นลูกยิงปลิดชีพ “เดอะท็อฟฟี” เพื่อนร่วมเมือง

ตอนนั้น หลายคนมองว่าเขาคือคนที่จะเข้ามารับหน้าที่ต่อจากบรรดาแข้งรุ่นพี่อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, จีนี ไวจ์นัลดุม รวมทั้ง ฟาบินโญ ในแดนกลาง ยิ่งการมาถึงของ ติอาโก้ อัลคันทารา ยิ่งทำให้ดาวเตะทีมชาติอังกฤษชุดเล็กเหมือนมีครูดีที่จะช่วยให้พัฒนาฝีเท้าได้อย่างก้าวกระโดดอีกด้วย

อีกทั้งท่ามกลางความสำเร็จตลอด 3 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่า โจนส์ ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แม้จะไม่ใช่ผู้เล่นคนสำคัญ แต่เขาก็ถูกหมุนเวียนพื่อรักษาความฟิตของแข้งตัวหลักและได้เรียนรู้อะไรมากมายจากนักเตะระดับยุโรปที่มีอยู่เต็มทีม 

แต่ด้วยอาการบาดเจ็บกลับทำให้เขาไม่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่ทุกคนคาดหวัง เมื่อชีวิตกำลังจะพุ่งทะยานก็ต้องโดนเบรคด้วยการร้างสนาม สิ่งนี้เกิดขึ้นกับแข้งอคาเดมี หงส์แดง อย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อฟอร์มการเล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า ยังไม่เห็นแววของการจะเป็นนักเตะคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล เสียที และมันก็คือที่มาของคำว่า “ดาวรุ่งตลอดกาล” ที่ได้จั่วหัวไว้ข้างต้น

Curtis-Jones
เคอร์ติส โจนส์ ได้รับบาดเจ็บในเกมที่เจอกับ โอซาซูน่า

ในฤดูกาลนี้ก็เช่นกัน, หลายคนมองว่า โจนส์ น่าจะมีส่วนช่วยทีมได้มากขึ้น แต่เขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมมากนัก จากการลงเล่นไปทั้งหมดเพียง 11 นัดในทุกรายการ โดยเล่น พรีเมียร์ลีก มากที่สุดคือ 6 เกม ซึ่งก็เนื่องมาจากปัญหาเดิม ๆ คือเรื่องของอาการบาดเจ็บที่รบกวนอยู่ตลอดเวลา, และจากรายงานล่าสุดของ เดวิด แมดด็อก นักข่าวของ เดลีเมล เปิดเผยว่า ลิเวอร์พูล จะยังให้โอกาส โจนส์ ต่อไปในฤดูกาลหน้า นั่นหมายความว่า เขายังอยู่ในแผนการทำทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังจะทำการปฏิวัติครั้งใหญ่ในถิ่น แอนฟิลด์ ในช่วงซัมเมอร์นี้

ท่ามกลางปัญหาหลาย ๆ อย่างที่กำลังเกิดขึ้นที่ ลิเวอร์พูล พวกเขาได้ค้นพบเพชรเม็ดงามอย่าง สเตฟาน บายจ์เซติช ผู้ซึ่งยังไม่ถึงวัย 20 ปี แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในแผงกองกลางหลังจากที่ถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในซีซันนี้

ด้วยความนิ่งและเทคนิคอันน่าทึ่งเกินวัย ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นความหวังใหม่ของบรรดาเด็กหงส์ที่อยากเห็นเขารับหน้าที่หนึ่งใน 3 มิดฟิลด์ตัวหลักของทีมในอนาคต ซึ่งดูแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหรือได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เราน่าจะได้เห็นแข้งทีมชาติสเปนชุดเล็กลงเล่นให้กับทีมไปอีกนาน

ท่ามกลางเสียงชื่นชมที่ถาโถมเข้าใส่ดาวเตะวัย 18 ปี ในอีกด้านหนึ่ง “ดาวรุ่งตลอดกาล” อย่าง เคอร์ติส โจนส์ กำลังถูกบดบังอยู่ในมุมมืดพร้อมกับคำถามที่ว่า เมื่อไหร่ที่แข้งรายนี้จะสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้เสียที, ยิ่งถ้าย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โจนส์ ก็มีเส้นทางที่คล้ายกับ บายจ์เซติช ตรงที่ถูกผลักดันขึ้นมาลงเล่นในทีมชุดใหญ่และสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีจนทำให้แฟนบอลมองว่านี่คืออนาคตใหม่ของทีม

สเตฟาน-บายจ์เซติซ
สเตฟาน บายจ์เซติซ กับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน

การอำลาทีมของ นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน และ เจมส์ มิลเนอร์ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นสูงมาก และจะมีนักเตะใหม่เดินหน้าเข้ามาอย่างน้อย 2-3 รายในแดนกลาง ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นถูกคาดหมายว่าจะต้องเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

สถานภาพของ โจนส์ ก็อาจจะเหมือนเดิม นั่นคือเป็นตัวสำรองที่รอโอกาสเมื่อตัวจริงได้รับบาดเจ็บหรือถูกส่งลงเล่นในฟุตบอลถ้วยหรือ แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมกับรอหมุนเวียน เมื่อยามมีโปรแกรมแข่งขันติด ๆ กัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ มันอาจจะเป็นซีซันสุดท้ายของเขากับ ลิเวอร์พูล ก็ได้, ซึ่งแม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสให้ไปต่อ แต่การเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ ตัวนั้นไม่อาจการันตีได้ว่าโอกาสของเขาจะมาเมื่อไหร่และจะมีมากน้อยขนาดไหน

เพราะการแข่งขันที่ดุเดือดจากภายนอกของบรรดาทีมระดับท็อปซิกซ์ ที่ต่างพากันยกระดับตัวเองและทำผลงานได้อย่างโดดเด่น รวมทั้งการแข่งขันกันเองภายในทีมของนักเตะในตำแหน่งเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่หนักหนามากหากว่า เคอร์ติส โจนส์ จะยังคงเข้า ๆ ออกทีมชุดใหญ่ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม, หากว่ากองกลางรายนี้ต้องการที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง โปรดจงจำไว้ว่าชีวิตของเขานั้นดีกว่าสิ่งที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ กัปตันเฮนโด้ เคยเผชิญมาแล้ว

จอร์แดน-เฮนเดอร์สัน-เคอร์ติส-โจนส์
โจนส์ สามารถยึดเอา เฮนเดอร์สัน เป็นแบบอย่างได้

ถ้าจำกันได้เมื่อปี 2012 ในสมัยที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม, เฮนโด้ ถูกมองว่าจะไม่มีโอกาสในทีมชุดใหญ่มากนัก เพราะตอนนั้นเจ้าตัวยังเป็นนักเตะดาวรุ่งและเพิ่งย้ายมาจาก ซันเดอร์แลนด์ ในยุคของ เคนนี ดัลกลิช ก่อนหน้านั้นแค่ปีเดียว ในขณะที่ บีร็อด ก็ต้องการสร้างทีมใหม่ ซึ่งเขาอยากได้ คลินท์ เดมพ์ซีย์ เพลย์เมคเกอร์ตัวเก่งของ ฟูแลม มาร่วมทีม ดังนั้นการเปิดห้องเพื่อพูดคุยกับ เฮนโด้ จึงเกิดขึ้น

ร็อดเจอร์ส บอกว่าเขาไม่ต้องการ เฮนเดอร์สัน และพร้อมเสนอให้กับ ฟูแลม เพื่อเป็นการแลกตัวกับ เดมพ์ซีย์ แต่สุดท้ายแข้งดาวรุ่งชาวอังกฤษก็ปฏิเสธและขอพิสูจน์ตัวเองภายใต้การทำงานกับกุนซือชาวไอร์แลนด์หนือ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม

ว่ากันว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2013-2014 ถ้า ลิเวอร์พูล มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงสนามจนจบฤดูกาล พวกเขาอาจจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกได้ก่อนยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่หลายคนวิจารณ์ไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น แต่เรื่องราวของกัปตันเฮนโด้ก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับ เคอร์ติส โจนส์ ได้ฮึดสู้ใหม่ในซีซันหน้าหรือแม้กระทั่งช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้

แข้งวัย 22 ปีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นที่มีเทคนิคแพรวพราวหรือวิสัยทัศน์กว้างไกลขนาด ติอาโก้ หรือ จู๊ด เบลลิงแฮม  แต่เขาสามารถพัฒนาและปรับตัวเป็นนักเตะที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่เมื่อได้รับโอกาสในการลงสนาม โดยเฉพาะช่องว่างที่ จีนี ไวจ์นัลดุม ทิ้งเอาไว้ ซึ่ง คล็อปป์ ยังไม่สามารถหาคนเข้ามาทดแทนในจุดนี้ได้เลย

และนี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของ โจนส์ ที่จะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง….

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top