‘เดอะ ค็อป’ กับความอดทนในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน

เชื่อว่าเหล่า เดอะ ค็อป ในตอนนี้ ต่างก็กำลังร้อนรุ่มใจและคิดไม่ตก ทั้งในแง่ของผลงานทีม และท่าทีของผู้บริหารทีมที่ดูนิ่งเฉยเกินไปหรือเปล่า?

และ เดอะ ค็อป ก็ยังเข้าใจได้ว่าตอนนี้คือ ‘ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน’ หลายคนอาจจะพูดได้ว่า มันเริ่มจากตรงไหน แต่สิ่งที่ เดอะ ค็อป กำลังตั้งคำถามคือ การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะพาทีม หงส์แดง เดินหน้าไปในทิศทางใด

ผลพวงจากการเป็นทีมแรกในอังกฤษที่มีลุ้นถึง 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฟอร์มการเล่นและผลงานในภาพรวมของ ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าขุมกำลังส่วนใหญ่จะเป็นชุดเดิมก็ตาม

เยอร์เก้น คล็อปป์ รู้เรื่องนี้ดี ทำไมคนเป็นผู้จัดการทีมจะไม่รู้ว่าการจะรักษาระดับให้อยู่ในจุดสูงสุดในระยะยาวได้จะต้องทำอย่างไร เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ไล่ไปตั้งแต่การปล่อยตัวแข้งสำรองอย่าง ดิว็อค โอริกี และ ทาคุมิ มินามิโนะ ออกจากทีม, ซาดิโอ มาเน ย้ายไปค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค และถูกแทนที่ด้วยการทุ่มเงินดึง ดาร์วิน นูนเญซ มาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวระดับ 100 ล้านยูโร ในขณะที่แดนกลางนายใหญ่ชาวเยอรมันก็พยายามยกระดับด้วยการทาบทาม ออเรเลียง ชูอาเมนี แต่สุดท้ายนักเตะเลือกจะย้ายไป เรอัล มาดริด จึงต้องพยายามรั้งแข้งที่มีอยู่เอาไว้เพื่อใช้งานกันไปก่อนอีกซักปี

นอกนั้น นักเตะดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ฟูแลม ถูกเสริมเข้ามาเพื่ออนาคต บวกกับพวกที่อยู่ในทีมทั้ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ เคอร์ติส โจนส์ จัดได้ว่า นี่คือขุมกำลังที่ คล็อปป์ เตรียมปั้นเพื่อทดแทนรุ่นใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

โอริกี้ และ มินามิโนะ
โอริกี และ มินามิโนะ
ตอนที่ยังค้าแข้งอยู่กับ ลิเวอร์พูล

อดีตกุนซือ ดอร์ทมุนด์ รู้ว่า นักเตะที่เขามีในตอนนี้ไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนเดิมแล้ว ยิ่งการเล่นฟุตบอลแบบ เกเก้นเพรสซิง ที่ต้องบดบี้คู่ต่อสู้ ดันขึ้นสูง และใช้พละกำลังมหาศาลเกือบทั้ง 90 นาที ยิ่งทำให้ต้องมีผู้เล่นที่สดใหม่และพร้อมที่จะทำแบบนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วย สิ่งที่จะทำให้ทีมยังคงรักษาความเข้มข้นเหล่านี้ได้ คือการนำผู้เล่นใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เราต้องเข้าใจว่าแนวทางการทำงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทีมเบื้องหลัง และนโยบายของเจ้าของทีมนั้นมีความเป็นของตัวเองมานานแล้ว และยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในระดับบนสุด

ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมที่เสริมทัพหรือซื้อผู้เล่นทีละเยอะ ๆ ในคราวเดียว พวกเขาไม่ได้ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ค่อย ๆ ใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจ็คของตัวเองจนเป็นรูปเป็นร่างและจากนั้นก็เก็บเกี่ยวผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปีแรกที่เข้ามารับงาน คล็อปป์ ใช้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน เป็นจิ๊กซอว์ตัวแรกในเกมรุก โดยเปลี่ยนจากเพลย์เมคเกอร์มาเป็นกองหน้าตัวเป้าในระบบ 4-2-3-1 จากนั้นปีที่ 2 ก็ดึง ซาดิโอ มาเน เข้ามาประสานงานกับ บ็อบบี้ และมีบทบาททางเกมริมเส้นมากขึ้น ซึ่งทำให้เราพอมองเห็นภาพความอันตรายในแดนหน้าได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งการมาของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในปีที่ 3 นั่นคือคำตอบสุดท้ายของระบบ 4-3-3 ที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของทีม

คล็อปป์ ใช้เวลา 3 ปีในการสร้างแนวรุกที่อันตรายที่สุดในยุโรปและปีที่ 4 เขาก็พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อด้วย พรีเมียร์ลีก และแชมป์บอลถ้วยอีกหลายรายการ

เยอร์เก้น คล็อปป์
ความสำเร็จของ คล็อปป์ กับการนำทัพ ลิเวอร์พูล

เช่นเดียวกับตำแหน่งอื่น ๆ เขาให้โอกาส ลอริส คาริอุส อยู่ 2 ปีก่อนจะไปคว้า อลิสซอน เบ็คเกอร์ มาจาก โรมา เช่นเดียวกับในแผงกองหลังที่ยอมเสียเวลารอ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และใช้เวลากว่า 3 ปีในการเติม จีนี ไวจ์นัลดุม และ ฟาบินโญ เข้ามาสู่แดนกลางก่อนที่ทุกอย่างจะลงตัว

นั่นหมายความว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ คือกุนซือที่ต้องการเวลาและเป็นคนที่ลงตัวกับนโยบายด้านการซื้อขายของ FSG มากที่สุด ซึ่งต่างจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่มีสรรพกำลังทุกอย่างให้พร้อมใช้งานโดยทันทีและใช้เวลาเพียง 2 ปีในการพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้

เช่นเดียวกับ มิเกล อาร์เตต้า ที่เข้ามาทำงานกับ อาร์เซนอล ในช่วงปลายปี 2019 พร้อมกับการยกเครื่องทีมใหม่แทบจะทุกตำแหน่งด้วยเม็ดเงินมหาศาลกว่า 300 ล้านปอนด์ในช่วงเวลา 3 ปีก่อนจะผงาดง้ำค้ำตำแหน่งจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ในเวลานี้

ฝีมือของ คล็อปป์ นั้นไม่เป็นสองรองใครแน่นอนในวันที่เขามีขุมกำลังที่ต้องการ แต่ตอนนี้ ลิเวอร์พูล อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในทุก ๆ ตำแหน่งซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาและความอดทน เหมือนกับที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมเสมอ เชลซี

อลิสซอน เบ็คเกอร์
อลิสซอน เบ็คเกอร์ ในเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเจ๊ากับ เชลซี

“ผมคิดว่าเป็นเพราะช่วงเวลาที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ ทุกคนต้องการที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยทันที แต่มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องสร้างเกมของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง เราต้องอดทน”

“ผมเองก็อยากจะให้มันเปลี่ยนแปลงโดยทันที แต่เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เราต้องเชื่อในกระบวนการ เราต้องมองในแง่ดีเข้าไว้ รวมใจกัน และทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ต่อไป”

“เรากำลังทำงานกันอย่างหนัก ใคร ๆ ก็บอกว่าเราเล่นไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนที่เคยเป็น แต่เราแค่ต้องรอให้ทุกอย่างมันค่อย ๆ ดีขึ้น”

อลิสซอน เบ็คเกอร์ กล่าว

อาร์เซนอล ต้องอดทนอย่างหนักตอนที่ อาร์เตต้า พาทีมแพ้รวดและจมดิ่งสูโซนตกชั้น กระแสการปลดกุนซือสแปนิชในเวลานั้นก็ร้อนแรง แต่พวกเขาก็มองไปที่เป้าหมายและภาพใหญ่มากกว่า จนกระทั่งมีวันนี้

และใช่ว่าตอนนี้ คล็อปป์ จะไม่มีนักเตะดี ๆ อยู่ในทีม เพราะทั้ง โคดี้ กัคโป และ ดาร์วิน นูนเญซ ถือเป็นคลื่นลูกใหม่และเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพมากพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกในการผลัดใบของ ลิเวอร์พูล ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้ รวมทั้ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต์ และ อิบราฮิมา โคนาเต้ ที่ถูกเติมเข้ามาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมในระยะยาว

จริงอยู่ที่คู่แข่งกำลังโกยแต้มและโชว์ฟอร์มกันได้ดีจนน่าอิจฉา แต่โลกก็เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างมีขึ้นมีลง การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ขอแค่อดทนในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านเหมือนที่เคยทำได้เมื่อ 7 ปีก่อน ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นอย่างที่เราวาดหวังเอาไว้

นอกเสียจากว่า FSG จะตกลงขายสโมสรให้กับทุนจากตะวันออกกลางได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นก็คงไม่ต้องรอคอยอะไรกันให้นานอีกต่อไป….

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top