เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กับบทบาทของการเป็น ‘ฟูลแบ็คตัวใน’

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลายเป็นอีก 1 ชื่อที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางอีกครั้ง พร้อมกับมีคำถามว่าถึงเวลาหรือยังที่เขาจะขยับมาทำเกมในแดนกลางให้กับ หงส์แดง หลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านไล่ตามเจ๊ากับ อาร์เซนอล 2-2 แบบสุดมันส์ในศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อ 8 วันก่อน

ในเกมเกมดังกล่าว จะเห็นได้ว่า 45 นาทีแรกนั้นแข้งวัย 24 ปีไม่สามารถรับมือกับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ทางกราบขวาของตัวเองได้เลย มีหลายครั้งที่วิ่งหลุดตำแหน่งหรือลงไปช่วยเกมรับไม่ทัน และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทีมเสียประตูที่ 2 ในนาทีที่ 28 อีกด้วย

พูดง่าย ๆ ว่าเกมรับของแบ็คขวาอิงลิชแมนในวันนั้นแย่มาก ๆ ในช่วงครึ่งแรก ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายของแฟนบอลอยู่แล้ว เพราะตลอดทั้งฤดูกาลเจ้าตัวโดนวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง

แต่หลังจากที่เจ้าตัวกลับมาลงสนามใน 45 นาทีหลัง ดูเหมือนว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของแบ็คขวารายนี้ โดยให้หุบเข้ามาเล่นตรงกลางมากขึ้นหรือที่เราเรียกว่า “Inverted Fullback” หรือ “ฟูลแบ็คตัวใน” เน้นเกมรุก เพิ่มความรัดกุมในการครองบอล และป้องกันเกมโต้กลับซึ่งเป็นอาวุธของทีมเยือน

เทรนท์ - มาร์ติเนลลี
เทรนท์ ดวลกับ มาร์ติเนลลี

แท็คติกนี้ได้ผลเป็นอย่างดี ลิเวอร์พูล ดาหน้าทำเกมรุกใส่ อาร์เซนอล อย่างไหลลื่น สร้างโอกาสในการทำประตูได้อย่างมากมาย และท้ายที่สุดก็เป็น เทรนท์ ที่แตะบอลลอดขา โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เข้าไปเปิดบอลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน โขกประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมได้สำเร็จ

45 นาทีหลัง ฟูลแบ็ค หงส์แดง กลายเป็นคนละคน เมื่อเขาได้มีส่วนร่วมในเกมรุกและสร้างอิมแพ็คต่อทีม ทำให้หลายคนเชียร์ให้เขาย้ายมาเล่นในแดนกลางอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพื่ออุดช่องว่างในเกมกลางสนามและเพิ่มศักยภาพในเกมรุกให้กับทีม

มาถึงเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปถล่มเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปได้อย่างท่วมท้นด้วยสกอร์ 6-1, เทรนท์ โชว์ฟอร์มได้อย่างไฉไลอีกครั้งจากการที่เขารับหน้าที่ Inverted Fullback อย่างเต็มตัวตั้งแต่นาทีแรก

คล็อปป์ ยังคงใช้นักเตะชุดเดิมจากที่เสมอกับ อาร์เซนอล มา 2-2 แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือวิธีการเล่นที่ไม่เหมือนเดิม แม้ว่าแผนการเล่นจะยืนกันในระบบ 4-3-3 แต่เมื่อเกมเริ่มขึ้นเราจะเห็นว่านักเตะจะมีการเปลี่ยนไปเล่น 3-4-3-2 หรือ 3-5-2 ในเกมรุกในขณะที่ถ้าตั้งรับก็จะกลับมาเล่นแบบเดิม

เทรนท์
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกม ลีดส์ 1-6 ลิเวอร์พูล

ซึ่งระบบที่เราเห็นนี้ คือการเล่นใน 45 นาทีหลังที่เจอกับ อาร์เซนอล เมื่อสัปดาห์ที่แล้วและกดจ่าฝูงอยู่ข้างเดียวจนไม่สามารถทำอะไรได้ เกมนี้แข้ง หงส์แดง ก็หันมาเล่นแบบนั้นอย่างเต็มตัว

ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบนี้ทำให้ เทรนท์ กลายเป็นนักเตะที่โดดเด่นขึ้นมาทันตา เพราะเขากลายเป็นหัวใจสำคัญของเกม การได้เข้าไปอยู่ตรงกลางสนาม สามารถงัดศักยภาพด้านเกมรุกออกมาได้อย่างเต็มที่ และเปลี่ยนเป็น 2 แอสซิสต์สวย ๆ พร้อมกับคว้ารางวัล แมนออฟเดอะแมตช์ มาครองได้อีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นในครั้งนี้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ซึ่งอันที่จริงมันได้รับการวิเคราะห์กันในวงกว้างตั้งแต่เกมที่เสมอกับ อาร์เซนอล 2-2 มาแล้ว และในเกมที่เจอกับ ลีดส์ กลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล ยิ่งเล่นยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ 

สาเหตุสำคัญที่ คล็อปป์ ปรับมาใช้การเล่นแบบนี้ก็เพื่อปิดจุดอ่อนเรื่องเกมรับ ซึ่งพวกเขามักจะเสียประตูจากเกมสวนกลับโดยเฉพาะฝั่งขวาที่มี อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ประจำการและเป็นจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้เจาะเข้าทำประตูมากที่สุด

ด้วยความเข้าใจง่าย ๆ Invert Fullback คือการใช้ฟูลแบ็คขยับเข้ามาเล่นตรงกลางสนามเพื่อให้จำนวนผู้เล่นมากกว่าฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจะทำให้ครองเกมได้มากขึ้น ชิงความได้เปรียบในเกมรุก ซึ่ง คล็อปป์ เรียกบทบาทนี้ในอีกชื่อหนึ่ง ว่า “ดับเบิ้ลซิกซ์” หรือ กองกลางหมายเลข 6 คนที่ 2

เทรนท์ - กัคโป
TAA ทำแอสซิสต์ลูกแรกให้ กัคโป ยิงขึ้นนำ

จากนั้นรูปแบบการเล่นจะปรับจาก 4-3-3 มาเป็น 3-4-3 ที่เน้นเกมรุก ส่วนในเกมรับจะใช้มิดฟิลด์ตัวโฮลดิ้งบอลลงมาช่วยตัดเกมและเซ็นเตอร์แบ็คจะขยับเข้ามาช่วยอีกแรง  

จริง ๆ แล้วการเล่นแบบนี้ คล็อปป์ ไม่ได้เพิ่งนำมาใช้เป็นครั้งแรก แต่เขาได้เฉลยตอนหลังจบเกมกับ อาร์เซนอล ว่าเคยลองกันมาแล้วเมื่อช่วงต้นฤดูกาล แต่ตอนนั้นด้วยเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะและอะไรหลาย ๆ อย่าง จึงทำให้มันยังไม่เวิร์คเท่าที่ควร ซึ่งกว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ก็มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

นอกจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่ใช่ทีมแรกที่ใช้ระบบนี้ เพราะ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือคนที่นำเข้ามาติดตั้งให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากที่มันใช้ได้ผลมาแล้วตอนที่เขาคุม บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งด้วยระบบนี้ทำให้ ไคล วอล์คเกอร์ มีบทบาทสำคัญกับเกมรุกของพวกเขาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

ยังมี อาร์เซนอล อีกทีมที่ใช้ระบบเดียวกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะ มิเกล อาร์เตต้า ได้รับการถ่ายทอดจาก เป๊ป สมัยเป็นมือขวาที่ ซิตี้ และเมื่อเขาย้ายมาคุม เดอะกันเนอร์ส ก็พยายามทดลองอยู่เป็นปี จนกระทั่งได้ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ทำให้เกมรับและรุกของพวกเขาสมดุลและสุดอันตรายในฤดูกาลนี้

คล็อปป์
อ้อมกอดจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ตอนจบเกม

เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาตลอดหลังจากที่โดนคู่แข่งจับทางได้ แต่การนำระบบใหม่เข้ามาใช้กับทีมฟุตบอลทีมหนึ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันคือการเปลี่ยนวิธีการเล่นไปเกือบทั้งหมด ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงต้องอาศัยเวลาและการฝึกซ้อมกว่าจะเข้าที่เข้าทาง 

น่าสนใจว่าต่อจากนี้ ลิเวอร์พูล จะทำได้ดีขนาดไหนกับระบบใหม่ของพวกเขา ซึ่งหากไม่คิดถึงเรื่องการลุ้นท็อปโฟร์ที่ดูแสนยากเย็นเหลือเกิน ก็ถือว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 8 นัดคือการซ้อมทีมเพื่อเตรียมตัวกลับมาลุ้นแชมป์กันใหม่ในซีซันหน้าต่อไป

สำหรับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ถือได้ว่านี่เป็นก้าวสำคัญและเป็นพัฒนาการที่น่าจับตามองว่า เขาจะสามารถยกระดับการเล่นของตัวเองได้มากน้อยขนาดไหนกับบทบาทใหม่ในอนาคต

ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก ufabet

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top