5 ข้อดีที่ยังพอได้เห็นจากผลงานที่ดิ่งลงเหวของ ลิเวอร์พูล

ผลงานในช่วงนี้ของพลพรรค “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เรียกได้ว่าทำเอาสาวก “เดอะ ค็อป” ทั่วโลกต่างก็ต้องเซ็งไปตามๆกัน และดูเหมือนว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นกลับมาสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้ง่ายๆเลย

จากทีมที่เคยลุ้นแชมป์เมเจอร์ 4 รายการเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นคนละทีมจากที่หลายๆคนเคยรู้จัก โดยบรรดานักเตะคีย์แมนที่เคยเล่นด้วยความฟิต กระฉับกระเฉง มุ่งมั่น กลับกลายเป็นแสดงออกทางจิตใจ และภาษากายที่แย่มากๆจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมา

อย่างไรก็ตาม แม้จะตกรอบฟุตบอลถ้วยในประเทศอย่าง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ รวมถึงหมดลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก แทบจะแน่นนอนแล้ว แต่เมื่อมองในเชิงบวกมันก็ยังพอมีเรื่องดีๆอยู่บ้างที่อาจช่วยเยียวยาจิตใตแฟนบอลให้อดทนเชียร์ไปจนจบซีซั่นนี้ 

เยอร์เก้น คล็อปป์

1. เยอร์เก้น คล็อปป์ กล้าดร็อปนักเตะตัวหลักที่ฟอร์มตก

ในช่วงนี้ คล็อปป์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พร้อมให้โอกาสนักเตะอย่าง โจ โกเมซ, สเตฟาน บายจ์เซติช และ นาบี เกอิต้า ลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าผลการแข่งขันจะออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ก็ตาม

แผงมิดฟิลด์ที่มีปัญหาเมื่อ ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน พากันฟอร์มตกนั้น บายจ์เซติช ก็ได้ยืนประจำการคู่กับ ติอาโก้ อัลคันทาร่า และ เกอิต้า ไปยาวๆ ซึ่งทำให้ ลิเวอร์พูล ดูจะมีพลังในการขับเคลื่อนเกม และมีความสดมากขึ้น

แผงหลัง โกเมซ ก็ได้ลงมาคู่กับ อิบราฮิมา โกนาเต้ แทนที่ของ โจเอล มาติป ที่ฟอร์มหลุด และ 3 นัดที่ผ่านมาพวกเขาทั้งคู่ก็ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เก็บคีลนชีตได้ 2 เกม แต่น่าเสียดายที่มาตกม้าตายในเกมบุกไปโดน ไบรท์ตัน ย้ำแค้น 2-1 ในศึก เอฟเอ คัพ เมื่อ 29 มกราคมที่ผ่านมา

2. สัญญาณที่ดีจาก โคดี้ กัคโป

มันยุติธรรมที่จะบอกว่าการลงเล่น 2-3 นัดแรกของ กัคโป ในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล นั้น ไม่มีอะไรที่โดดเด่นเลย โดยหัวหอกชาวดัตช์แทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกม คุกคามแนวรับ หรือสร้างสรรค์โอกาสทำประตูได้แบบจริงๆจังๆ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า กัคโป เริ่มจะปรับตัวกับแนวทางการเล่นของ ลิเวอร์พูล ได้แล้ว ซึ่ง 2 เกมหลังสุด เจ้าตัวยืนในตำแหน่ง False9 แทนที่ของ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และแสดงให้เห็นว่า สามารถประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อดีตดาวยิง พีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น หาช่องว่างระหว่างแผงกองหลัง แข็งแกร่ง สัมผัสบอลได้ดี ครองบอลเหนียวแน่น รวมถึงตัดสินใจได้ดีในหลายๆจังหวะ และถึงแม้จะยังไม่ใช่ฟอร์มระดับมาสเตอร์คลาส แต่เจ้าตัวก็แสดงให้เห็นว่าสามารถนำอะไรมาสู่ทีมได้บ้าง

3. ไม่ฝืนใช้นักเตะอายุมาก

คล็อปป์ อยู่ระหว่างการถ่ายเลือดทีมในช่วงกลางฤดูกาล ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างหนัก บวกกับนักเตะหลักพากันบาดเจ็บ และไม่ได้ผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพนั้น ทำให้ เขาต้องพยายามเข็นทีมชุดนี้ไปให้สุดจนจบซีซั่น

 เฮนเดอร์สัน พลังงานหดหายอย่างเห็นได้ชัด และในวัย 32 ปีนั้น เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่มีสภาพร่างกายที่พร้อมลงสนามทุกๆเกมเหมือน 4-5 ปีที่ผ่านมาแล้ว ส่วน ฟาบินโญ่ที่อายุ 29 ปี ซึ่งอาจดูไม่มาก แต่ก็ยืนเป็นตัวจริงให้กับทีมมาตลอดหลายปีแบบไม่มีคนสับเปลี่ยน

เจมส์ มิลเนอร์ ยังคงมีบทบาทในบางเกม แต่การจะให้นักเตะอายุ 37 ปี ลงสนามอย่างสม่ำเสมอก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คล็อปป์ กำลังทำในสิ่งที่เหมาะสมด้วยการให้บรรดานักเตะที่กล่าวมาได้พัก ซึ่งอาจรวมถึง การลดลดบทบาท มาติป วัย 31 ปี ที่ดูเชื่องช้าลงไปด้วยเช่นกัน 

4. นักเตะหลักใกล้กลับมาช่วยทีม

การพ่ายแพ้ให้กับทีมอย่าง เบรนท์ฟอร์ด และ ไบรท์ตัน เป็นผลงานที่น่าผิดหวัง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่แฟนๆ ลิเวอร์พูล จะต้องแสดงปฏิกิริยาเซ็งกับทีมมากจนเกินไปเพียงเพราะผลการแข่งขันเป็นไปตามที่ต้องการ

 เมื่อมองไปที่บรรดานักเตะหลักอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ, ดิโอโก้ โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, เฟอร์มิโน่ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจค์ ได้รับบาดเจ็บนั้น มันก็ส่งผลกระทบกับ ลิเวอร์พูล อย่างเห็นได้ชัด และ คล็อปป์ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแทบทุกเกม

อย่างไรก็ตาม ดิอาซ กำลังฟื้นฟูร่างกาย และน่าจะกลับมาในเร็วๆนี้ ส่วน นูนเญซ ก็ฟิตสมบูรณ์แล้ว ซึ่งทำให้ คล็อปป์ จะมีอาวุธหนักเพิ่มขึ้นในแดนหน้า รวมถึง อาตูร์ เมโล่ ที่หลายๆคนลืมไปแล้ว ก็กำลังจะกลับมาลงสนามได้ และอาจทำให้แดนกลางมีตัวหมุนเวียนมากขึ้น

เยอร์เก้น คล็อปป์

5. ได้บทเรียนจากฤดูกาลที่แตกต่างกันสำหรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ นักเตะ รวมถึงบอร์ดบริหาร

ลิเวอร์พูล ได้รับการบันทึกสถิติไว้ว่า ฤดูกาล 2021/22 พวกเขาลงเล่นไปรวมทุกรายการทั้งหมดมากถึง 63 เกม และมีโอกาสคั่วแชมป์ 4 รายการ ซึ่งความพยายามเหล่านั้นส่งผลเสียต่อพลพรรค “หงส์แดง” อย่างชัดเจนทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ตกรอบฟุตบอลถ้วยในประเทศทั้ง 2 รายการที่เป็นแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นลูกทีมของ คล็อปป์ ผ่านด่านทีมที่แข็งแกร่งอย่าง เรอัล มาดริด ไปได้

อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในฤดูกาลนี้ มันทำให้ คล็อปป์ และทีมผู้บริหารจำเป็นต้องมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญ และการบ้านก้อนโตในการทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาสู่ความสำเร็จอีกครั้ง

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top