5 ประเด็นที่ต้องพูดถึงในช่วงวิกฤตของ ลิเวอร์พูล

ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ โค้ชชาวเยอรมันกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตสุดๆอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับทีมระดับใด พลพรรค “หงส์แดง” ก็เจองานยากเหลือเกินในการหาหนทางเอาชนะ

คล็อปป์ กำลังเจอบททดสอบครั้งใหญ่สุดๆหลังเข้ามาทำงานในถิ่น แอนฟิลด์ เข้าสู่ปีที่ 7 โดยเวลานี้ทีมของเขามีปัญหาในทุกพื้นที่ของสนามทั้งแนวรับ แผงกองกลาง และแดนหน้า จนตอนนี้หลายๆคนมองว่า ควรจะลืมเรื่องการไล่ล่าถ้วยแชมป์ไปได้แล้ว และควรหาวิธีในการดึงสติผู้เล่นให้กลับมาเร็วที่สุด

ในช่วงซัมเมอร์มันจะเป็นการถ่ายเลือดครั้งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล แต่กว่าจะไปถึงตอนนั้น ครึ่งซีซั่นที่เหลือพวกเขาต้องร่วมมือฟันฝ่ามันไปให้ได้ และนี่คือ 5 ข้อหลักๆที่ควรพูดถึงในช่วงย่ำแย่ของทีมในเวลานี้

1. ปัญหาเรื้อรังในแดนกลางที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องจัดการ

ฤดูกาลนี้ผู้เล่นในแผงมิดฟิลด์หลายคนทำให้ คล็อปป์ ต้องผิดหวัง โดยล่าสุด ฟาบินโญ่ ไม่มีชื่อแม้กระทั่งเป็นตัวสำรองเลยด้วยซ้ำ ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ถูกลดบทบาทไปแล้ว ขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่เคยได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอก็ไม่สามารถยึดพื้นที่ 11 คนแรกได้

ในระบบ 4-3-3 กองกลาง 3 ราย ที่ คล็อปป์ เลือกใช้ในช่วงหลังคือ สเตฟาน บายจ์เซติช, นาบี เกอิต้า และ ติอาโก้ อัลคันทาร่า และถึงแม้ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็ทำให้เห็นว่า มีฟอร์มการเล่นที่ดีกว่าคนที่หลุดไปเป็นตัวสำรอง

บายจ์เซติช, เกอิต้า และ ติอาโก้ อาจต้องใช้เวลาอีกสักพักในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่มันก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วหาก คล็อปป์ จะเลือกใช้ 3 คนนี้เป็นหลักไปจนจบฤดูกาล และค่อยมองหาทางเลือกอื่นต่อไป

เยอร์เก้น คล็อปป์

2. ความโกลาหลของแนวรับ

ในปีนี้การโดนคู่แข่งยิงขึ้นนำก่อนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วหรับ ลิเวอร์พูล และเมื่อผลลัพธ์เกิดขึ้นแบนั้น มันก็ยิ่งเป็นการบั่นทอนทั้งกำลังกาย และกำลังใจในการฮึดกลับมาชนะในสภาพทีมที่มีปัญหาทุกพื้นที่ของสนาม

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความผิดพลาดส่วนบุคคลของผู้เล่นแนวรับ โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่ โจเอล มาติป จับคู่กับ โจ โกเมซ นั้น เป็นต้นเหตุทำให้  ลิเวอร์พูล แทบจะปิดประตูแพ้ตั้งแต่ 12 นาทีแรกของเกมเลยด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกัน การสื่อสารระหว่าง อลินซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล และบรรดาแผงแบ็คโฟร์ของ ลิเวอร์พูล มีปัญหาอย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

3. ฟอร์มการเล่นส่วนบุคคล  

ดูเหมือนว่า มาติป กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ย่ำแย่สุดในอาชีพค้าแข้งที่ แอนฟิลด์ โดยปราการหลังชาวแคเมอรูนวัย 31 ปี ดูเชื่องช้า ตัดสินใจผิดพลาด และเป็นที่พึ่งให้กับทีมไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งบ่อยครั้งที่เราจะเห็นเขาวิ่งตามหลังแนวรุกคู่แข่ง

 โกเมซ เป็นกองหลังที่ฟอร์มการเล่นไม่สม่ำเสมอมานานแล้ว และในวัย 25 ปี ดูเหมือนว่า เจ้าตัวคงไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่านี้ ซึ่งการที่เขาถูกจับมายืนคู่กับ มาติป ในช่วงฟอร์มตกนั้น มันคือ ฝันร้ายของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ชัดๆ

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดนวิจาณ์เรื่องการเล่นเกมรับมาตลอด และตอนนี้เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มีปัญหากับการเผชิญหน้ากับแนวรุกคู่แข่งจริงๆ นอกจากนี้ในเรื่อวเกมรุก แบ็ควัย 24 ปี ยังผลงานดำดิ่งสุดๆหลังปีนี้ทำได้เพียงแอสซิสต์เดียว

4. พลาดโอกาสทำประตูในจังหวะสำคัญ

ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี้ กัคโป ถูกคว้าตัวเข้ามาเพื่อเพิ่งพลังเกมรุก และทางเลือกที่หลากหลายในการโจมตีให้กับ ลิเวอร์พูล แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาทั้งคู่ยังโชว์ฟอร์มได้ไม่สมราคา และยังต้องใช้เวลาปรับจูนกับเพื่อร่วมทีมสักพักเลยทีเดียว

นูนเญซ รวมเร็ว แข็งแกร่ง และหาจังหวะสับไกได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขาก็พลาดโอกาสที่แปรเปลี่ยนเป็นประตูแบบจ่อๆอยู่หลายครั้ง ขณะที่ กัคโป มีเทคนิค และสามารถไปกับบอลได้ดี แต่ก็ยังมีส่วนร่วมกับการสร้างสรรค์เกมรุกน้อยไป

ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ก็ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว โดยดาวเตะชาวอิยิปต์ วัย 30 ปี แทบจะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เลยในการดวลลตัวต่อตัว และการที่เขาต้องเล่นร่วมกับนักเตะใหม่อย่าง นูนเญซ และ กัคโป ก็ยิ่งทำให้โอกาสจบสกอร์ของเขาน้อยลงตามไปด้วย

เยอร์เก้น คล็อปป์

5. โปรแกรมสุดโหดที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมต้องเจอ

หลังจากอยู่ในช่วงวิกฤตอย่างหนัก ลูกทีมของ คล็อปป์ ก็ยังต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากสุดๆในเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งเรียกได้ว่า ทั้งนักเตะ “หงส์แดง” และ แฟนบอลต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อผ่านโปรแกรมไปให้ได้

5 เกมต่อไป ลิเวอร์พูล เริ่มจากเปิดรัง แอนฟิลด์ ทำศึก “เมอร์ซีย์ ไซด์ ดารบี้ แมทช์” รับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ที่ได้โค้ชใหม่อย่า ฌอน ไดซ์ เข้ามาคุมทีม ต่อด้วยไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนาม เซนต์ เจมส์ ปาร์ค

จากนั้น เปิดบ้านเจอ เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ลีก เลกแรก ตามด้วยไปเยือน คริสตัล พาเลซ และได้กลับมาเล่นในบ้านทำศึก “แดงเดือด” กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมองตามฟอร์มการเล่น ณ เวลานี้ ไม่มีเกมไหนที่ง่ายเลยจริงๆสำหรับ “หงส์แดง”

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top