เรอัล มาดริด เตรียมเปิดสนาม ซานติเอโก้ เบอร์นาเบว เพื่อต้อนรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16ทีมสุดท้าย นัดที่ 2, เหล่า ‘เดอะ ค็อป’ ทุกคนคงหวังจะให้เกิดปาฏิหาริย์ในเกมนี้ อาจจะได้เรียกได้ว่านี่คือ ‘ภารกิจแห่งจักรวาล’ สำหรับทัพนักเตะ หงส์แดง เลยว่าก็ว่าได้
เกมแรกที่สนาม แอนฟิลด์ นั้น หงส์แดง พ่ายไปอย่างหมดรูปด้วยสกอร์ 2-5 ทั้ง ๆ ที่ขึ้นนำก่อนถึง 2-0 แต่ด้วยความผิดพลาดของบรรดาเกมรับรวมทั้ง อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทำให้ทุกอย่างโกลาหลและจบลงด้วยความย่อยยับ
มีการพูดถึงการยกเครื่องใหม่หลังเกมดังกล่าว โดยเฉพาะในแดนกลางที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการต่อกรกับทีมระดับ แชมเปี้ยนส์ ลีก, จริงอยู่ที่เจ้าหนู สเตฟาน บายจ์เซติช คือคลื่นลูกใหม่และเป็นความหวัง ในขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ก็กำลังอยู่ในช่วงบ่มเพาะฝีเท้าและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่หากคุณจะเปิดหน้าลุยกับทีมระดับนี้ นักเตะที่มีอยู่คงไม่พอจะไปทำอะไรใครได้
ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟก็กลายเป็นประเด็นที่เอามาถกกันได้แบบยาว ๆ ความประมาทและการอ่านเกมที่ผิดพลาดของ โจ โกเมซ ทำให้แฟนบอลเรียกร้องให้มีการหากองหลังระดับท็อปเข้ามาเสริมทัพ แม้ว่าในบางเกมเขาจะทำได้ดี แต่หากต้องการความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมก็ควรจะผู้เล่นตัวหลักที่มีฟอร์มสม่ำเสมอทั้งฤดูกาลยืนพื้นด้วย
ในขณะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็โดนวิจารณ์ไม่แพ้กัน และเจ้าตัวก็มาถูกกระหน่ำอีกครั้งในเกมล่าสุดที่พ่ายต่อ บอร์นมัธ ซึ่งบรรดากูรูมองว่า เขาคือคนที่ทำให้ทีมเสียประตูและแพ้ในเกมที่ไม่น่าแพ้ บางคนบอกเขาขี้เกียจและหมดสภาพ บางคนบอกว่าควรดร็อปไว้ข้างสนามบ้างเพื่อรีเฟรชตัวเองเสียใหม่หลังจากที่ลงสนามติดต่อกันมานานหลายปี
2 ตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอย่างมากในเกมแรก และต้องการการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนในตลาดซัมเมอร์ ในขณะที่แดนหน้าแม้จะมีผู้เล่นฝีเท้าดีเต็มอัตราแต่ก็ยังคงมีปัญหาเดิม ๆ คือเรื่องความเฉียบขาดและการขาดความสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะตลาดซื้อขายกว่าจะเปิดทำการอีกครั้งก็ต้องรอให้จบฤดูกาล แต่คำถามที่ตามมาเราสามารถคาดหวังอะไรได้บ้างจากการออกไปเยือน เรอัล มาดริด ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว
หลังความพ่ายแพ้ต่อ บอร์นมัธ คงทำให้ เดอะ ค็อป หลาย ๆ คนลดความคาดหวังในเกมเลกที่ 2 ลงอย่างมาก จากเดิมที่เคยคิดว่าทีมของพวกเขาน่าจะมีลุ้นสร้างปาฏิหาริย์จากการที่เปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก แดงเดือด แต่พอเจอบ๊วยติดคอในเกมต่อมาก็ทำให้รู้ว่าสภาพของทีมรักจริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างไร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ บาร์เซโลนา เมื่อ 4 ปีที่แล้วคงยากที่จะเกิดขึ้นกับ เรอัล มาดริด โดยเฉพาะที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เพราะนี่คือ ราชันชุดขาว ผู้ซึ่งคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทั้งหมด 14 สมัย มากที่สุดในประวัติศาสตร์และมากกว่าทีมอันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน เท่าตัว
ไหนจะสถิติการเจอกันใน 5 นัดหลังสุด นับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศที่เคียฟ ลิเวอร์พูล ไม่เคยเอาชนะ โลส บลังโกส ได้เลย พวกเขาแพ้ไปถึง 4 และเสมอ 1 นัด ยิงได้ 4 ประตูและเสียไปทั้งหมด 12 ประตู โดน 2 ใน 4 ที่แพ้นั้นคือการแพ้ในนัดชิงชนะเลิศด้วย
การเดินทางไปสเปนในครั้งนี้ แฟนบอลคงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนัก แต่เชื่อว่าพวกเขาคงอยากจะเห็นสัญญาณดี ๆ จากลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ บ้าง หลังจากที่กล้าแพ้ทีมบ๊วยของตารางอย่าง บอร์นมัธ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า เมื่อเทียบคุณภาพของนักเตะตำแหน่งต่อตำแหน่ง อาจจะมีไม่กี่คนที่จะสามารถต่อกรกับแข้ง มาดริด ได้ หากแต่เมื่อฟุตบอลเล่นเป็นทีมและมี 11 คนเท่ากัน ดังนั้นพวกเขาจึงควรแสดงความมุ่งมั่นและจิตใจที่ห้าวหาญเพื่อเก็บผลการแข่งขันกลับมาให้ได้
น้อยคนที่จะหวังชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่พวกเขาก็อยากจะเห็นนักเตะ ลิเวอร์พูล สู้ทุกจังหวะ แสดงความผิดพลาดให้น้อยที่สุด เล่นด้วยความมั่นใจ และเข้มข้นดุดันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด 3-4 ปี
อย่างน้อยในเกมนัดชิงชนะเลิศปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล เคยทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสู้กับลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้อย่างสูสี เพียงแต่วันนั้นหลาย ๆ อย่างไม่เป็นใจ โดยเฉพาะการเซฟอันยอดเยี่ยมของ ติโบ กูร์ตัวส์ และการยิงประตูที่เฉียบขาดของ วินิซิอุส ซึ่ง 2 สิ่งนี้คือตัวตัดสินเกมที่แท้จริง
ขอแค่การเริ่มต้นอย่างมีสมาธิ มุ่งมั่นเต็มที่ และสู้ทุกลูก เชื่อว่า 90 นาทีที่ เบอร์นาเบว แม้จะไม่มีเซอร์ไพรส์ แต่มันจะช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของนักเตะ ลิเวอร์พูล และแฟนบอลได้ไม่มากก็น้อยก่อนจะปิดเบรคทีมชาติ
อย่าลืมว่าเมื่อกลับมาลงสนามในเดือนเมษายน พวกเขาจะต้องเจอกับ 3 เกมหนักไม่ว่าจะเป็นการออกไปเยือน แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ก่อนจะกลับมาเล่นในบ้านเจอกับ อาร์เซนอล ทีมจ่าฝูง ซึ่งหากผ่านโปรแกรมมหาโหดเหล่านี้ไปได้ การลุ้นอันดับ 4 ก็ยังจะพอมีความหวังอยู่บ้างในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
ดังนั้นพูดได้เลยว่าชัยชนะที่ เบอร์นาเบว อาจจะไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่นักเตะ ลิเวอร์พูล แสดงออกมาตลอด 90 นาทีก็ว่าได้…
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก ufabet