5 เหตุผลที่ทำให้ แนท ฟิลลิปส์ ต้องเป็นตัวสำรองที่โคตรอดทน

หลังพลาดการเก็บกระเป๋าย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล ในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา แนท ฟิลลิปส์ กองหลังชาวอังกฤษ ต้องกลับมาสวมบทบาทตัวสำรองในทัพ “หงส์แดง” อีกครั้ง และอย่างน้อยก็ต้องนั่งอยู่ข้างสนามไปจนถึงสิ้นสุดซีซั่น

ในช่วงที่ ลิเวอร์พูล มีปัญหาแนวรับอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, โจเอล มาติป, โจ โกเมซ และล่าสุด อิบราฮิมา โคนาเต้ ได้รับบาดเจ็บ ฟิลลิปส์ ก็ยังไม่ได้รับโอกาสจากกุนซือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้ลงสัมผัสเกมมากนัก

นับตั้งแต่เซ็นสัญญาฉบับใหม่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ฟิลลิปส์ ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไปเพียง 8 เกม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟุตบอลถ้วยอย่าง คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ และเป็น 2 รายการที่ “หงส์แดง” ตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว

หากย้อนกลับไปในปี 2020-21 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟวัย 25 ปี มีส่วนสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล คว้าตั๋วฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จท่ามกลางวิกฤตกองหลังบาดเจ็บ แต่หลังจากนั้น ฟิลลิปส์ ก็แทบไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมเลย สาวก “เดอะ ค็อป” มองว่า ฟิลลิปส์ เป็นนักเตะที่ทุ่มเท ใจสู้ และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทีม แต่สำหรับ คล็อปป์ เขาต้องการมากกว่านั้นจากกองหลังตัวกลาง ซึ่งนี่คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เจ้าของฉายา  “บาเรซี แห่ง โบลตัน” ต้องนั่งดูเพื่อข้างสนาม

1. ความเชื่องช้าของ แนท ฟิลลิปส์ ที่ส่งผลต่อเกมรับ ลิเวอร์พูล

ฟิลลิปส์ เป็นผู้เล่นแนวรับที่ดี เขาสามารถเข้าปะทะ เอาชนะลูกกลางอากาศ ผ่านบอล และพาบอลขึ้นไปด้วยตัวเองได้เมื่อจำเป็น ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่เจ้าตัวตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ เซาแธมป์ตัน, บอร์นมัธ และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส อยากได้ตัวไปเสริมทัพในตลาดนักเตะรอบล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ความเชื่องช้าของ ฟิลลิปส์ ยังคงมีปัญหาในหลายๆครั้ง โดยจะเห็นได้จากบางจังหวะที่เจ้าตัวจะถูกแนวรุกคู่แข่งที่มีความเร็วกว่าเลี้ยงบอลผ้านไปดื้อๆ และต้องหยุดเกมด้วยการทำฟาวล์

การที่ไม่ได้เป็นกองหลังที่มีความเร็วนัก ทำให้คู่ต่อสู้สามารถเจาะทางพื้นที่ของ ฟิลลิปส์ ได้อย่างง่ายดายด้วยการดวลตัวต่อตัวบนพื้น และหลีกเลี่ยงการเล่นบอลยาว

2. ไม่เหมาะกับแท็คติคของ เยอร์เก้น คล็อปป์

ระบบทีมของ คล็อปป์ คือ การให้กองหน้า และกองกลางไล่เพรสซิ่งตั้งแต่ในแดนของคู่แข่งเพื่อแย่งบอลกลับคืนมาให้เร็วที่สุด และอาศัยการโจมตีแบบฉับพลัน ซึ่งทำให้กองหลังต้องบีบพื้นที่ขึ้นมาถึงบริเวณกลางสนาม

แผงแบ็คโฟร์ของ ลิเวอร์พูล จะต้องสอดประสานกับแดนกลาง และแทบจะยืนชิดกันเพื่อปิดช่องว่างในการโจมตี โดยปราการหลังตัวกลางอย่าง ฟาน ไดจค์, โกเมซ และ โคนาเต้ ต่างก็มีความเร็ว ยกเว้น มาติป แต่ก็ชดเชยด้วยการอ่านเกมที่แม่นยำ

ฟิลลิปส์ สามารถดันขึ้นมายืนบริเวณกลางสนามได้ แต่ความเชื่องช้าของเขาก็ทำให้เกิดปัญหาเมื่อต้องวิ่งตามคู่แข่งที่มีความเร็วจัด

3. ความเข้าใจกันกับเพื่อนร่วมทีม

เห็นได้ชัดเจนจากกรณี โคนาเต้ ที่ย้ายมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อปี 2021 ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ได้ลงเป็นตัวจริงคู่กับ ฟาน ไดจค์ ทันที แทนที่จะเป็น ฟิลลิปส์ ที่ได้โอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอเมื่อฤดูกาลดังกล่าว

โคนาเต้ แสดงให้เห็นว่า รู้หน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไรเมื่อต้องยืนคู่กับ ฟาน ไดจค์ และที่สำคัญ กองหลังเฟรนช์แมน สามารถเข้าปะทะ เอาชนะลูกกลางอากาศ ผ่านบอล และพาบอลขึ้นไปด้วยตัวเองได้ดีกว่า ฟิลลิปส์ เสียอีก

ไม่ต้องพูดถึงกรณีของ โกเมซ และ มาติป ที่ยืนเป็นคู่ขาให้กับ ฟาน ไดจค์ มาอย่างยาวนาน และคุมเกมรับได้อย่างแข็งแกร่งมาตลอด

4. การตัดสินใจในจังหวะสำคัญ

การตัดสินใจไม่ดีในจังหวะสำคัญเป็นปัญหาของ ฟิลลิปส์ เช่นกัน ซึ่งในหลายๆครั้งที่ ลิเวอร์พูล กำลังได้เปรียบหากเปิดเกมรุกจากแดนหลังได้ แต่เขาก็ทำให้เกมมันช้าลง และคู่แข่งก็ลงมาปิดพื้นที่กันได้อย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ผู้เล่นกองหลังทุกคนที่จะสมบูรณ์เท่า ฟาน ไดจ์ค โดดเด่นเท่า โคนาเต้ อ่านเกมดีเหมือน มาติป หรือเร็วเท่า โกเมซ แต่การควบคุมบอล และการตัดสินใจที่ดีเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการจากกปราการหลังตัวกลาง

หากคุณเป็นกองหลัง และช้ากว่าคู่แข่งเพียง 1-2 หลา บวกกับเป็นคนที่ไม่มีความเร็วนัก มันก็อาจสร้างปัญหาพาทีมไปสู่การเสียประตูได้

5. แนท ฟิลลิปส์ เป็นนักเตะที่ดี แต่ยังไม่พอสำหรับการลงเป็น 11 คนแรก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฟิลลิปส์ ดีเกินกว่าจะนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่เขาก็ยังไม่ดีพอสำหรับการออกสตาร์ทให้กับ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ ซึ่งน่าเสียดายแทนที่เจ้าตัวไม่ได้รับโอกาสให้ไปพิสูจน์ตัวเองกับสโมสรใหม่เมื่อตลาดนักเตะรอบที่ผ่านมา

ฟิลลิปส์ จะต้องเป็นตัวสำรองไปจนจบฤดูกาลนี้ เขามีความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มที่ และเตรียมจะย้ายออกไปอย่างแน่นอนในช่วงซัมเมอร์

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top