แนวทางซื้อขาย ของแต่ละทีม ถ้าเรามองกันตามความเป็นจริงในโลกลูกหนังทุกวันนี้ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องปัจเจก แต่ละทีมคงมีวิธีการที่ไม่เหมือนกัน
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะต้องการกองกลางระดับท็อปในการเสริมทัพซัมเมอร์เพื่อยกระดับทีมให้กลับมามีลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อีกครั้ง แต่พวกเขาก็มิได้มีท่าทางว่าพร้อมที่จะทุ่มเงินมหาศาลแต่อย่างใด?!
หงส์แดง จัดการปิดดีล อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้อย่างรวดเร็วและได้ราคาที่สุดเซอร์ไพรส์ที่ 35 ล้านปอนด์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ มีการคาดกันว่าอาจจะต้องจ่ายถึง 50 ล้านเพื่อคว้าแข้งดีกรีแชมป์โลกรายนี้
นอกจากนั้น รายงานล่าสุดยังเผยออกมาว่า พวกเขาใกล้จะตกลงคว้าตัว เคเฟรน ตูราม มิดฟิลด์ดาวรุ่งอีกรายมาจาก นีซ โดยตกลงกันได้ที่ราคาราว ๆ 35 ล้านปอนด์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ใช้เงินราว ๆ 70 ล้านปอนด์ในการเสริม 2 กองกลางตามเป้าหมายที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการ
เมื่อบวกกับข่าวเรื่องการตามหาเซ็นเตอร์แบ็คอีกหนึ่งราย ซึ่งราคาเต็มที่ไม่เกิน 50 ล้านปอนด์ก็เท่ากับว่า ในตลาดรอบนี้พวกเขาจะใช้เงินไปทั้งหมดประมาณ 120 ล้านปอนด์
ในขณะเดียวกัน เมื่อมองไปที่บรรดาทีมหัวแถวอย่าง อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ นิวคาสเซิล ต่างมีสถานการณ์การใช้จ่ายที่แตกต่างจาก ลิเวอร์พูล โดยสิ้นเชิง
เดอะ กันเนอร์ส อาจจะต้องใช้เงินขั้นต่ำ 150 ล้านปอนด์ในการปิดดีล 2 แข้งอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ และ ดีแคลน ไรซ์ ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็สามารถปิดดีลคว้าตัว เมสัน เมาท์ จากอ้อมอกของ เชลซี ไปได้แล้ว ด้วยค่าสินสอดที่ 60 ล้านปอนด์
ส่วนทีม สิงห์บลู เองก็กำลังมีข่าวกับ มอยเซส ไคเซโด้ ที่ ไบรท์ตัน ตั้งราคาไว้สูงถึง 80 ล้านปอนด์ ปิดท้ายด้วยทีมสาลิกาดงที่จัดการคว้า ซานโดร โตนาลี มาจาก เอซี มิลาน สนนราคาที่ 70 ล้านปอนด์ เป็นที่เรียบร้อย และนี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังเหลือเวลาที่เราจะได้เห็นทีมอื่น ๆ ทุ่มเงินล่าตัวนักเตะเข้าทีมมากกว่านี้อีกเยอะ
วัตถุประสงค์ของการใช้เงินระดับมหาศาลนี้ก็เพื่อการไล่ล่าแชมป์ หรืออย่างน้อยก็จับจองพื้นที่ไปเล่นในรายการ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่มีตั๋วเพียง 4 ที่นั่ง โดยในซีซันที่ผ่านมาเป็นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นิวคาสเซิล
หากแต่ในซีซันใหม่ที่กำลังจะมาถึงนั้น ทั้ง 4 ทีมจะถูกไล่ล่าจากขาใหญ่หน้าเก่าเจ้าประจำอย่าง ลิเวอร์พูล, เชลซี และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ อาจรวมไปถึงทีมที่กำลังมาแรงอย่าง ไบรท์ตัน เข้าไปด้วยอีกหนึ่งทีม ซึ่งมันก็จะทวีความเข้มข้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อพิจารณาจากแนวทางการเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล และบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในตารางแล้ว เราจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างในการใช้เงินนั้นห่างกันหลายเท่าตัว เพราะแม้จะมีซีซันที่ล้มเหลว แต่ หงส์แดง ยังคงยึดมั่นในนโยบายการใช้เงินอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งนับตั้งแต่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015
ค่าเฉลี่ยนักเตะที่ย้ายเข้ามาในถิ่น แอนฟิลด์ จะอยู่ในระดับราคา 30-50 ล้านปอนด์ มีบ้างที่ราคาโดดมากกว่าเพื่อนอย่าง อลิสซง เบ็คเกอร์, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ ดาร์วิน นูนเญซ แต่ทุกอย่างอยู่ในงบประมาณและการควบคุม
เดอะ ค็อป อาจส่ายหัวกับจำนวนเงินที่ทีมจ่ายไปตลอดช่วงเวลาของ คล็อปป์ และก่นด่า FSG ที่ไม่ยอมลงทุนให้มากไปกว่านี้ แต่อย่าลืมว่า ด้วยเม็ดเงินจำนวนนี้พวกเขาคว้าแชมป์มาแล้วในทุกรายการที่ลงเล่นในรอบ 7 ปี และเป็นทีมเดียวที่แย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้ 1 สมัย
มองกลับไปที่หลาย ๆ ทีมที่มีการทุ่มเงินกันอย่างบ้าคลั่งใน 2 ซีซันก่อน…
อาร์เซนอล ใช้ไป 200 ล้านปอนด์ แต่ก็ทำได้เพียงแค่เกือบคว้าท็อปโฟร์ ก่อนที่ดอกผลจะมาผลิบานในปีนี้ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สร้างสถิติซื้อนักเตะราคาระดับโลกอย่าง ปอล ป็อกบา และ แฮรืรี แม็คไกวร์ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถจับจองพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างสม่ำเสมอ
หรือล่าสุดกับ เชลซี ที่ทุ่มเงินกว่า 600 ล้านปอนด์ แต่ทำได้เพียงการรั้้งตำแหน่งกลางตาราง ทั้ง ๆ ที่เม็ดเงินระดับนี้ควรจะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก หรือ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างน้อย 1 สมัยด้วยซ้ำ แต่ทีมที่ทำสำเร็จมีเพียงทีมเดียวนั่นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พิสูจน์ให้เห็นจริง ๆ ว่า “เงินสามารถซื้อความสำเร็จได้“
อย่างไรก็ตาม, เราจะยกย่องว่า ลิเวอร์พูล ฉลาดใช้เงินกว่าทีมอื่น ก็ไม่น่าจะพูดได้เต็มปาก เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้ซีซันที่ผ่านมาพวกเขาล้มเหลวเกือบไม่ได้ไปบอลยุโรป ก็ต้องบอกว่ามาจากนโยบายการเสริมทัพของพวกเขาเองที่ทำให้ต้องมาแก้ตัวกันในซัมเมอร์นี้
แน่นอนว่า เดอะ ค็อป อยากจะเห็นทีมรักขยับตัวและเคลื่อนไหวกันให้มากกว่านี้ อยากเห็นการใช้จ่ายที่มากขึ้น อยากเห็นนักเตะระดับสตาร์เดินเข้าสู่ทีมเหมือนที่สโมสรอื่น ๆ เค้าทำกัน แต่เจ้าของสโมสร, เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานยังคงมีแนวทางเป็นของตัวเอง และพวกเขาเชื่อว่าการพาทีมไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีแค่วิธีเดียวเสมอไป
ในซีซันใหม่ที่กำลังจะมาถึง จึงเป็นการพิสูจน์ว่า แนวทางซื้อขาย และวิธีการที่พวกเขาเชื่อถือนั้น จะช่วยให้สโมสรประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่
เพราะถ้าผลเป็นอย่างอื่น คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั่นเอง…