เอฟเอคัพ รอบ 4 ที่จบไปเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค. ผลการแข่งขันจบด้วยสกอร์ ไบรท์ตัน 2-1 ลิเวอร์พูล ส่งผลให้แชมป์เก่าต้องกราบลาท่านผู้ชมที่เป็นแฟนหงส์แดงไปในรอบนี้
ก่อนที่เหล่า ‘เดอะ ค็อป‘ จะมาเจอกับผลการแข่งขัน ไบรท์ตัน 2-1 ลิเวอร์พูล นั้น, พวกเขาก็เพิ่งจะได้เจอกับผล ไบรท์ตัน 3-0 ลิเวอร์พูล เมื่อ 15 วันก่อนในรายการ พรีเมียร์ลีก
ความพ่ายแพ้ต่อ ไบรท์ตัน เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 สัปดาห์ ทำให้กองเชียร์บางส่วนรู้สึกผิดหวังและตั้งคำถามว่า สรุปแล้ว เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถแก้ไขปัญหาของทีมได้แค่นี้เองหรือ? หลังจากที่ได้รับความพ่ายแพ้จาก ไบรท์ตัน ครั้งแรกมาแบบไร้ทรงด้วยสกอร์ 3-0
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ออกไปเยือน ‘เจ้านกนางนวล‘ ที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งจะแพ้ เบรนท์ฟอร์ด มา 3-1 ใน พรีเมียร์ลีก และมาเสมอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-2 ใน เอฟเอคัพ ที่บ้านตัวเอง แฟนบอลคงไม่คิดว่าจะได้เห็น “โศกนาฏกรรม” การโดนย่ำยีอยู่ข้างเดียวจากทางเจ้าบ้าน เพราะดูจากรายชื่อผู้เล่นแล้วค่อนข้างเหนือกว่านิด ๆ ด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่างที่เราได้เห็นกันไป หงส์แดง โดน ไบรท์ตัน สอนบอลแบบไร้ทางสู้ โดยมีสถิติเป็นเครื่องชี้วัดได้เป็นอย่างดีทั้งการครองบอลที่ทำได้เพียง 61/39 เปอร์เซ็นต์, ยิงประตู 16/6 ครั้ง, ยิงตรงกรอบ 9/2 ครั้ง, ผ่านบอลตลอดทั้ง 90 นาที 650/420 ครั้ง และเตะมุม 7/1 ครั้ง
วันนั้น พวกเขาสู้ไม่ได้เลยตลอดทั้ง 90 นาที จนเมื่อจบเกม เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องออกมายกมือไหว้ขอโทษกองเชียร์ที่เดินทางมาให้กำลังใจ และหลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในอีก 2 เกมถัดมา
นายใหญ่ชาวเยอรมันก็รู้เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ว่า แดนกลางชุดที่ดีที่สุดอย่าง ติอาโก้ อัลคันทารา, ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน นั้น บางส่วนโรยราและหมดไฟไปนานแล้ว เขาจึงจัดการเปลี่ยนแปลงด้วยการใส่ชื่อ สเตฟาน บายจ์เซติช และ นาบี เกอิต้า ลงเล่นกับ ติอาโก้ ที่ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของทีมอยู่ และก็ทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยสามารถเก็บคลีนชีตในเกมที่ชนะ วูล์ฟ 1-0 ใน เอฟเอคัพ นัดรีเพลย์และการเปิดบ้านเสมอกับ เชลซี 0-0 ในพรีเมียร์ลีก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ดังนั้น การมาเยือน เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ในคำรบ 2, หลายคนจึงเชื่อว่าทีมของ คล็อปป์ จะทำผลงานได้ดีขึ้น หากแต่เมื่อผลการแข่งขันออกมาที่สกอร์ 2-1 โดยถูก “คู่กรรม” อย่าง คาโอรุ มิโตมะ ซัดประตูชัยในนาทีทดเจ็บ เสียงก่นด่าจึงกลับมาอีกรอบ!!
แน่นอนว่า ถ้าใครไม่ได้ดูเกมนี้แล้วตื่นขึ้นมาเช็คผลสกอร์เพียงอย่างเดียวก็จะบ่นกับตัวเองทำนองว่า “แพ้อีกแล้วเหรอ?” แต่เอาเข้าจริง เมื่อดูลงไปในรายละเอียดของเกม เราจะเห็นได้ถึงพัฒนาการที่น่าพอใจซึ่งพอจะให้เรามองเห็นอนาคตของทีมชุดนี้ได้อยู่บ้าง
45 นาทีแรกในเกมนี้ ถือเป็นฟอร์มที่ดีกว่าเดิมเมื่อเทียบกับนัดแรกที่เจอกัน แดนหลังยืนกันแน่นหนาช่วยกันดักสกัดบอลจากการเปิดริมเส้นได้ดีและมีจังหวะเคลียร์บอลจากริมเส้นให้เห็นจาก เทรนท์ อาร์โนลด์ ซึ่งถือว่าทุกคนตั้งใจกันมาเป็นพิเศษเพื่อแก้ตัวจากเกมก่อน
แดนกลาง คล็อปป์ ยังคงใช้ชุด ติอาโก้-บายจ์เซติช-เกอิต้า เพราะต้องการเล่นในระบบ 4-3-3 ที่เน้นการเพรสซิ่งจากแดนบนตามที่ตัวเองถนัด ซึ่งแผงกลางชุดนี้ก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม ติอาโก้ คุมจังหวะเกม เปิดบอลหาพื้นที่ เจ้าหนู บายจ์เซติช ไล่ตัดเกมและหยุดเกมรุกเจ้าบ้านได้ดี ส่วน เกอิต้า ก็พยายามมีส่วนทั้งเกมรุกและรับ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดพลาด
แดนหน้า 3 คนประกอบด้วย เอลเลียต ด้านซ้าย ตรงกลางเป็น กัคโป และขวาเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีจังหวะพยายามประสานงานกันในช่วงกลางครึ่งแรกและนำไปสู่ประตูขึ้นนำจาก เอลเลียต ซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเขาก็มีจังหวะหวาดเสียวมาแล้วด้วย
น่าเสียดายที่ท้ายครึ่งแรกลูกยิงของ แลมพ์ตี้ ไปแฉลบขาของ ลูอิส ดังก์ เปลี่ยนทางเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ เลยทำให้โมเมนตั้มของเกมยังคงไม่เหวี่ยงไปทางข้างไหนอย่างชัดเจนหลังจากจบ 45 นาที
ส่วนในครึ่งหลัง คล็อปป์ พยายามเติมทั้งความสดในเกมรุกและตรงกลางโดยส่ง ดาร์วิน นูนเญซ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงพร้อมกัน รวมทั้งต้องการปิดเกมรุกด้านขวาของเจ้าบ้านที่มี มิโตมะ คอยป่วน โดยให้ มิลเนอร์ ลงมาแทน เทรนท์ จากนั้นก็ทยอยส่ง เคอร์ติส โจนส์ ลงแทน ติอาโก้ และคนสุดท้ายเป็น ฟาบินโญ แทน บายจ์เซติช ในนาทีที่ 84
รูปเกมในครึ่งหลังส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าบ้าน แต่ภาพรวมไม่ได้แย่ขนาดโดนกดอยู่ข้างเดียว อย่างไรก็ตาม ก็มีคำถามตามมาว่าการส่ง เฮนโด้ และ ฟาบินโญ ลงมานั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทีมอ่อนลงกว่าเดิมหรือไม่
ทั้ง 2 คนถูกตั้งคำถามบ่อยในช่วงหลัง ทั้งเรื่องความโรยราและไฟที่กำลังมอดดับ ซึ่งส่งผลต่อฟอร์มของทั้งคู่ และการโดนใบหลืองที่น่าจะเป็นใบแดงของกองกลางบราซิลเลียนในช่วงท้ายเกมก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
ถ้าคิดแค่ 90 นาทีก็ถือว่า ลิเวอร์พูล ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี พวกเขาไม่เพลี่ยงพล้ำ อาจจะครองบอลไม่ดี ผ่านบอลไม่เข้าเป้าแต่ก็พยายามจะไม่เสียประตู ก่อนที่สุดท้ายก็มาโดนทีเด็ดจากลูกตั้งเตะและเป็น มิโตมะ ที่ยิงเข้าไปอย่างสุดสวยในนาทีทดเจ็บ
หากมองแค่ผลการแข่งขันก็อาจจะบอกว่า ลิเวอร์พูล แพ้ ไบรท์ตัน อีกแล้ว แต่หากดูรูปทรงการเล่นและฟอร์มของนักเตะก็ต้องบอกว่ามันดีขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ผลที่ออกมาไม่น่าเป็นที่พอใจ ซึ่งจุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ และการเสียสมาธิท้ายเกมถือเป็นเรื่องสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องไปแก้ไขในเกมต่อไป
นอกจากนี้ยังมีประเด็นน่าสนใจอีกว่า หลังจบเกมนายใหญ่ หงส์แดง ออกมาให้สัมภาษณ์ย้ำว่า มกราคมนี้จะไม่มีการซื้อใครใหม่แล้ว ไม่มีอีกแล้ว!! และเขาก็พอใจกับทีมที่มีอยู่แล้วเช่นกัน แน่นอนว่าเหลืออีกแค่ 2-3 วันจะปิดตลาด ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น แฟนบอลคงต้องก้มหน้ายอมรับสภาพกันไปแค่รอให้ตัวเจ็บกลับมาสู่ทีมและหวังให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางโดยเร็ว
มองในแง่ดีอย่างน้อ ยเกมนี้ก็ทรงดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ไร้ทางสู้เหมือน 3 สัปดาห์ก่อน ซึ่งก็ยังมีรายละเอียดที่ต้องปรับแก้กันต่อไปตราบใดที่ยังไม่จบฤดูกาล….