ใครจะไปรู้ว่า ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี้ กัคโป 2 ประสานในแดนหน้าของ ลิเวอร์พูล จะกลายเป็นคีย์แมนสำคัญในเกมนัดประวัติศาสตร์ที่ หงส์แดง สามารถเปิดบ้านถล่มคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้แบบยับเยินที่สุด ด้วยสกอร์ถึง 7-0
หากทุกท่านยังจำกันได้ ตอนที่ทั้งคู่ย้ายมาใหม่ ๆ ต่างถูกวิจารณ์กันอย่างหนักกันทั้งคู่ แม้ว่าแข้งอุรุกวัยจะสามารถฉายแสงในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ด้วยการทำ 1 ประตูและ 1 แอสซิสต์ ใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก็มาโดนไล่ออกจากอาการหัวร้อนใส่กองหลัง คริสตัล พาเลซ เพียงแค่เกมที่ 2 ของฤดูกาล ทำเอาทั้งตัวเองและทีมเสียศูนย์ไปตาม ๆ กัน
ในขณะที่ กัคโป นั้น มีดรามาตั้งแต่เปิดตัว เพราะรู้กันดีว่าแข้งรายนี้เป็นเป้าหมายหลักของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงขนาดแหล่งข่าวทั้งในและต่างประเทศต่างออกมาคอนเฟิร์มตรงกันว่า ยังไงก็ไป โอลด์ แทรฟฟอร์ด แน่ ๆ แต่สุดท้ายก็ดันมาแลนดิ้งที่ แอนฟิลด์ พร้อมสร้างความเสียหน้าให้กับเด็กผีเป็นอย่างมาก
แข้งชาวดัตช์จึงโดนจับจ้องอย่างหนัก และเมื่อเขายังไม่สามารถทำประตูได้ใน 4 เกมแรก จึงโดนแฟนบอลวิจารณ์และล้อเลียนกันอย่างหนัก ไม่ต่างอะไรกับที่ นูนเญซ ที่เคยโดนมาก่อน
แต่เมื่อเวลาผ่านมา ทั้งคู่ค่อย ๆ ปรับตัวและเข้ามามีบทบาทสำคัญในแนวรุกของทีมทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถจับจองตำแหน่งใน 3 ประสานแดนหน้าได้สำเร็จในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงที่แสนดี คอยแสดงให้เด็กมันดูว่า ถ้าอยากจะยิงกันปีละเกิน 20 ลูกต้องทำยังไง…
สำหรับเกมแรกที่ทั้ง 3 คนลงสนามพร้อมกันคือ นัดที่พ่ายต่อ วูล์ฟ ด้วยสกอร์ 3-0 ซึ่งเกมนั้นทุกคนโดนด่าเละ เพราะทั้งทีมเล่นกันได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่จากนั้นก็เริ่มเข้าที่เข้าทางในเกมต่อมาที่เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ไป 2-0 ตามด้วยการบุกไปเก็บ 3 คะแนนเหนือ นิวคาสเซิล อีก 2-0
ในขณะที่อีก 2 เกมต่อมาที่เสมอกับ พาเลซ 0-0 นั้น, แข้งอุรุกวัยไม่มีชื่ออยู่ในทีมเพราะเจ้าตัวต้องพักฟื้นจากอาการเจ็บบริเวณหัวไหล่ฝั่งขวา ส่วนนัดที่เอาคืน วูล์ฟ ที่ แอนฟิลด์ 2-0 นั้น กัคโป ก็ถูกจับนั่งเป็นตัวสำรอง
เท่ากับว่า 3 ประสาน นูนเญซ-กัคโป-ซาลาห์ ลงเล่นร่วมกันทั้งหมด 3 นัด ช่วยพา หงส์แดง คว้าชัยชนะไป 2 เกม แพ้ 1 เกม (ลิเวอร์พูล 2-5 เรอัลมาดริด) ก่อนที่ทั้ง 3 หน่อจะมาระเบิดฟอร์มขั้นเทพในเกมแดงเดือดหนล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ชัยชนะอย่างท่วมท้นของ ลิเวอร์พูล ในเกมนัดล่าสุดสามารถบ่งบอกอะไรกับเราได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกลับมามีแรงกระตุ้นในการเล่น และฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะเรื่องความเฉียบคมในแดนหน้าที่เคยเป็นปัญหาตามหลอกหลอนทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มานานแสนนาน
ภาพรวมของเกมนี้ถือว่า ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้ดี หลายคนได้รับคำชม โดยเฉพาะ นูนเญซ ที่มีส่วนในเกมรุกค่อนข้างมากและสร้างความอันตรายแทบจะทุกครั้งเมื่อบอลอยู่ที่เท้า ในขณะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ออกมาตอบโต้เสียงวิจารณ์ด้วยการทำประตูแรกให้กับทีม และพาเพื่อน ๆ เก็บคลีนชีตได้เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันใน พรีเมียร์ลีก
หงส์แดง เป็นทีมที่สร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูได้มากมาย แต่พวกเขามักจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป บางครั้งนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ อย่างเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เรอัล มาดริด เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทั้งผลการแข่งขันและรูปเกมของ ลิเวอร์พูล ในเกมนั้นก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันบ่อยครั้ง
คล็อปป์ เองก็ต้องการแก้ปัญหานี้โดยเร่งด่วน และดูเหมือนเขาจะมองว่ามันสำคัญกว่าเรื่องของแดนกลางเสียอีก ดูได้จากการที่เขาดึงเอาทั้ง นูนเญซ และ กัคโป เข้ามาร่วมทีมใน 2 ตลาดซื้อขายที่ผ่านมา
ซึ่งในเกมแดงเดือดที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า ดอกผลที่ คล็อปป์ หว่านเอาไว้นั้นเริ่มจะงอกงาม ทั้ง 2 คนกลายเป็นตัวอันตรายในแดนหน้า ด้วยการมีทั้งความเร็ว เทคนิคที่ดี และการยิงประตูที่เฉียบขาด และถ้าบวกกับการที่ทุกคนในทีมเข้าฟอร์มและสภาพจิตใจกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ไม่ว่าใครก็หยุดพวกเขาได้ยาก แม้แต่ทีมที่ฟอร์มดีอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
จากสถิติในเกมนี้ กองหน้าทั้ง 3 คนของเจ้าบ้านใช้โอกาสที่มีอย่างคุ้มค่า นูนเญซ ยิง 4 เข้ากรอบ 2 เป็นประตู 2, กัคโป ยิง 3 เข้ากรอบ 2 เป็นประตู 2 และ ซาลาห์ ยิง 3 เข้ากรอบ 2 และเป็นประตู 2 เช่นกัน ซึ่งนี่คือสถิติที่น่าทึ่งมาก ๆ และมันไม่ค่อยจะเกิดกับ ลิเวอร์พูล เท่าไหร่ในฤดูกาลนี้
ถ้าจะบอกว่าผลงานในเกมนี้ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ก็ไม่ผิดนัก หลังจากที่พวกเขาใช้บริการ 3 ประสานภายใต้รหัส SMF มานานหลายปี และเพิ่งจะสลายตัวไปเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาหลังจากที่ ซาดิโอ มาเน ย้ายไปเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค
แน่นอนว่า กัคโป และ นูนเญซ อาจจะกำลังถูกเปรียบเทียบกับรุ่นพี่อย่าง ซาลาห์-มาเน และ ฟีร์มีโน ที่เคยสร้างชื่อกระฉ่อนให้กับสโมสรพร้อมทั้งนำพาความสำเร็จอย่างมากมายมาให้กับ เดอะค็อป แต่สไตล์ของแต่ละคนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง และพวกเขากำลังสร้างสิ่งที่แตกต่างในแบบฉบับของตัวเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดนับจากนี้คือ คล็อปป์ ต้องใช้ประโยชน์จาก 3 ประสานยุคใหม่ให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังผลการแข่งขันที่พวกเขาต้องการและการคว้าโควต้าไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าให้ได้
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก ufabet