มันเป็นอีกช่วงเวลาที่ แฟนบอล ลิเวอร์พูล แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ต้องเหนื่อยใจกับผลงานของทีมรัก หลังจาก 2 เกมหลังสุดรวมทุกรายการไม่พบกับชัยชนะเลย โดยพลพรรค “หงส์แดง” เปิดรัง แอนฟิลด์ พ่าย เรอัล มาดริด คาบ้าน 2-5 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อด้วยบุกไปเสมอกับ คริสตัล พาเลซ แบบจืดชืด 0-0
แม้เกมกับ มาดริด และ พาเลซ ผลลัพธ์จะไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ แต่ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ยังพอมีมุมดี ๆ ให้เห็นในภาพรวมอยู่บ้างในช่วงเวลายังไม่ฟื้นไข้แบบนี้ และนี่คือ 3 ข้อบวก และ 3 ข้อลบ ที่เป็นประเด็นน่าสนใจให้นำมาพูดถึงกัน
1. ลิเวอร์พูล แห่งศึก พรีเมียร์ลีก เก็บคลีนชีตในลีกได้ 3 เกมติดต่อกัน
ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เสียประตูให้กับคู่แข่งแทบทุกเกมไม่ว่าจะเล่นในบ้าน หรือนอกบ้าน และการไม่เสียประตู 3 นัดติดต่อกันใน พรีเมียร์ลีก ให้กับ เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ พาเลซ คงไม่มีอะไรที่ยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่ ลิเวอร์พูล เก็บคีลนชีตได้ 3 นัดติดต่อกัน ซึ่งหากนับผลงานในลีกของซีซั่นนี้ “หงส์แดง” เก็บคลีนชีตได้เพียง 8 เกม โดย คล็อปป์ เปิดเผยว่า การไม่เสียประตูในเกมกับ พาเลซ เป็นสัญญาณที่เริ่มดีขึ้น
“นอกเหนือจากตอนที่พวกเขายิงชนคานแล้ว พวกเขายิงไม่ตรงกรอบ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเช่นกัน มันเป็นเกมที่ยาก แต่เราก็มีแต้ม เก็บคลีนชีตได้ และต้องเดินหน้าต่อไป” อดีตนายใหญ่ ไมนซ์ และ โบรุสเซีย ดอร์มุนด์ กล่าว
2. ดิโอโก้ โชต้า พร้อมกลับมาลงสนาม
เป็นครั้งแรกในรอบ 120 วันที่ หัวหอกชาวโปรตุเกส กลับมาลงสนามในฐานะ 11 คนแรกให้กับ ลิเวอร์พูล และในเกมกับ พาเลซ นั้น เจ้าตัวลงเล่นไปถึง 71 นาที แต่น่าเสียดายที่ โชต้า ยังค้นหาจังหวะที่เฉียบคมของตัวเองไม่เจอ
มันไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดของ โชต้า ซึ่งว่ากันตามจริง เขายังห่างไกลจากระดับการเล่นที่เคยทำได้อยู่ไกลพอสมควร แต่มันก็เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สาวก “เดอะ ค็อป” ได้เห็นว่า เจ้าตัวคืนสนามแล้ว และอยู่ระหว่างปรับจูนสิ่งต่างๆให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
คล็อปป์ กล่าวว่า “สำฟรับผมคิดว่า ฟอร์มโดยรวมของเขาดีมากจริงๆ ตอนนี้เราพยายามทำให้เขาเรียกจังหวะกลับคืนมา แต่มันก็ต้องใช้เวลาสักพัก จนถึงตอนนี้ มันเป็นฤดูกาลที่ยากสำหรับเขาจริงๆ แน่นอน เขาเล่นได้ดีกว่านี้ได้ แต่ตอนนี้มันยังไม่เป็นบแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่เราต้องผ่านไปให้ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราทำ”
3. ไม่แพ้ใครในลีกมา 3 เกมติดต่อกัน
นับเป็นครั้งแรกในปฏิทินปี 2023 ที่ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในลีกถึง 3 เกมติดกัน และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้นในฤดูกาลนี้
ผลที่ออกมาในเกมกับ พาเลซ คือ ลิเวอร์พูล ยังคงรักษามองถึงโควตาท็อปโฟร์ไว้ได้ โดยปัจจุบัน “หงส์แดง” อยู่อันดับที่ 7 เก็บได้ 36 คะแนน มีแต้มตามหลัง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 4 อยู่ 9 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่าถึง 2 เกม
4. ควรพัก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เจมส์ มิลเนอร์
จังหวะบล็อกในครึ่งแรกของ เฮนเดอร์สัน ในเกมกับ พาเลซ นั้น น่าจะสมบูรณ์แบบหากไม่ใช่ฟรีคิกของทีมตัวเองที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นคนยิง และดูเหมือนว่า วิถีของบอลน่าจะเป็นสกอร์ค่อนข้างสูง
ขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 37 ปี ก็ไม่ควรได้ลงเป็นตัวจริงแล้ว เนื่องจากเจ้าตัวดูเชื่องช้า อ่อนล้า และโรยลาอย่างเห็นได้ชัด และการมายืนจับคู่กับ เฮนเดอร์สัน ก็ทำให้กองกลางของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นบ่อน้ำมันชัดๆ
5. ฟอร์มของนักเตะยังไม่คงเส้นคงวา
เราต้องยอมรับความจริงว่า นี่ยังห่างไกลจากฟอร์มการเล่นเดิมที่นักเตะ ลิเวอร์พูล เคยทำได้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ยกเว้นผลงานส่วนตัวของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือ 1 ชาวบราซิล ที่ยังไว้ใจได้แม้จะมีความผิดพลาดบ้างก็ตาม
เวลานี้ คีย์แมนของทีมอย่าง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ฟอร์มหลุดกันไปดื้อ รวมถึงพวกตัวเสริมที่กู่ไม่กลับอย่าง นาบี เกอิต้า และ อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลน
6. อาการบาดเจ็บของ ดาร์วิน นูนเญซ ไม่พร้อมลงสนามช่วย ลิเวอร์พูล แห่งศึก พรีเมียร์ลีก
เกมกับ พาเลซ นับเป็นนัดที่ 4 ในฤดูกาลนี้แล้วที่ ลิเวอร์พูล ไม่มี นูนเญซ ลงสนามเป็น 11 คนแรกเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของเจ้าตัวในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
การไม่มีหัวหอกชาวอุรุกวัยลงเล่นตลอด 4 เกม นั้น ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูคู่แข่งไม่ได้ถึง 3 เกม ยกเว้นในเกม เอฟเอ คัพ ที่บุกไปเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 1-0 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นูนเญซ กลายเป็นกำลังสำคัญในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ไปเรียบร้อยแล้ว เขาสร้างความปั่นปวนให้กับแนวรับคู่แข่งได้อยู่เสมอ แม้จะพลาดโอกาสไปบ่อยครั้งก็ตาม แต่การที่มีเข้าอยู่ในสนามนั้น มันเพิ่มความอันตรายให้กับทีมอยู่มากทีเดียว