เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อคืนนี้เป็นมากกว่า 3 คะแนนและการเก็บคลีนชีตได้เป็นเกมแรกในศึก พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ย่างเข้าปี 2023 เป็นต้นมา เพราะมันคือหนึ่งในเกมที่นักเตะ ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้
บางคนอาจจะมองว่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่เมื่อดูจากผลงานในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า มีไม่กี่เกมที่ทัพ หงส์แดง จะเล่นได้อย่างดุดัน มุ่งมั่น และน่าเกรงขามแบบนี้ ซึ่งหากจะให้ลองนึกถึงเกมที่เล่นได้ดีอีกซักเกมก็คงจะเป็นนัดที่ถล่ม บอร์นมัธ ไป 9-0 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล
หลังความพ่ายแพ้ต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน เมื่อสัปดาห์ก่อน เราคงหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทีมชุดนั้น เพราะคู่เซ็นเตอร์อย่าง โจเอล มาติป และ โจ โกเมซ ถือเป็นบ่อที่โดนเจาะอย่างง่ายดาย ไหนจะแผงกองกลางที่ไม่สามารถหยุดยั้งการขึ้นเกมของคู่แข่งได้ และแดนหน้าที่ยังคงตามหาประตูกันไม่เจอ
ข่าวออกมาว่าเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน คล็อปป์ ได้เรียกประชุมเข้มกับลูกทีมและยืนยันว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อผู้เล่นระดับซีเนียร์บางคน ซึ่งหลายคนต่างพุ่งเป้าไปที่คู่เซ็นเตอร์โดยเฉพาะ โกเมซ ที่โชว์ความผิดพลาดแทบทุกครั้งเมื่อได้โอกาสลงสนาม โดยมีข่าวออกมาว่าอาจถึงเวลาของ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ ที่จะได้ลงมาพิสูจน์ฝีเท้าแทนที่เสียที
หากแต่เมื่อถึงเวลาจริง นายใหญ่ชาวเยอรมันแทบจะใช้ทีมชุดเดิมที่พ่าย วูล์ฟ ลงสนาม โดยเฉพาะในแดนหลังและแนวรุก มีเพียงแผงมิดฟิลด์ที่เปลี่ยนจาก นาบี เกอิต้า ที่หลุดไปเป็นสำรองและ ติอาโก้ อัลคันทารา ที่ได้รับบาดเจ็บ มาเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ซึ่งได้รับโอกาสกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงอีกครั้ง ในขณะที่เจ้าหนู สเตฟาน บายจ์เซติช ยังคงปักหลักในตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นต่อไป
นักเตะ ลิเวอร์พูล ลงเล่นในเกมนี้ด้วยความมุ่งมั่น เหมือนโดนเคาะกะโหลกมาหลังจากที่ได้รับความพ่ายแพ้กันมาติด ๆ แบบไม่มีทรง และยิ่งเป็นการพบกับคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ด้วยแล้ว มันคงจะดีที่สุดหากพวกเขาสามารถกลับมาคว้า 3 คะแนนได้ในเกมนี้
พูดถึงทีมของ ฌอน ไดซ์ ในเกมที่พลิกล็อคเอาชนะ อาร์เซนอล มาได้เมื่อสัปดาห์ก่อน พวกเขาเล่นกันได้อย่างดุดันและเข้มข้นกว่าเกมนี้มาก ต่างจากในนัดนี้ที่ดูเหมือนว่าอดีตกุนซือ เบิร์นลีย์ จะให้ลูกทีมมาตั้งรับในแดนของตัวเอง ไม่มีการไล่เพรสเหมือนเกมก่อนหน้านั้น นั่นจึงเปิดโอกาสให้เจ้าบ้านได้ครองบอลและเดินหน้าเข้ามาสร้างความอันตรายในพื้นที่สุดท้ายได้อยู่บ่อยครั้ง
เกมในภาพรวมคงเป็นเหมือนที่เราคิดเอาไว้ โดย เดอะ เร้ดส์ เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าและพยายามหาโอกาสเจาะเข้าทำเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทีมเยือนนั้นมาแบบขอ 1 แต้มไว้ก่อน แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะสร้างความลำบากใจให้กับคู่แข่งได้อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการพยายามใช้ลูกเซ็ตพีซเป็นจุดชี้ขาดเหมือนในเกมที่เฉือนชนะจ่าฝูง
และก็เป็นอย่างที่ พอล เมอร์สัน กูรูของทาง สกายสปอร์ต ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเกม เขาเชื่อว่าถ้า ลิเวอร์พูล ขึ้นนำได้ก็มีโอกาสเก็บ 3 คะแนนได้ แต่ก็ต้องระวัง เอฟเวอร์ตัน ที่เตรียมตั้งรับมาเต็มพิกัดและจะใช้ประโยชน์จากลูกตั้งเตะให้มากที่สุด ซึ่งก็ทำให้พวกเขาเกือบได้ประตูด้วย
หากแต่หลังจากนั้นเพียงแค่ 13 วินาที ซาลาห์ ก็มาเปลี่ยนเป็นสกอร์แรกได้สำเร็จจากการสวนกลับฉับพลันตามแบบฉบับของเจ้าถิ่นในนาทีที่ 36 ซึ่งเราก็ไม่ได้เห็นฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล แบบนี้กันมานานมาก และเป็นประตูที่ปลดล็อคอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับทีมได้ด้วย
ประการแรกคือ พวกเขาไม่เสียประตูก่อนเหมือนในเกมที่ผ่านมา เพราะหลังปีใหม่เป็นต้นมา 4 นัดก่อนหน้านี้ มีเพียงแม็ตช์ที่เจอ เชลซี ที่เสมอกันไป 0-0 แต่ 3 เกมที่เหลือที่เจอ เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน และ วูล์ฟ นั้นลูกทีมของ คล็อปป์ โดนขึ้นนำก่อนทั้งหมดและไม่สามารถไล่คืนได้เลย
นอกจากนั้นประตูของ ซาลาห์ ยังถือเป็นการมีส่วนร่วมกับกับการทำประตู (ยิง+แอสซิสต์) ครบ 100 ลูกใน พรีเมียร์ลีก พร้อมกับเป็นการเรียกความมั่นใจของเจ้าตัวกลับมาหลังจากที่โดนวิจารณ์อย่างหนักในเกมก่อนหน้านี้
ในขณะที่ประตูที่ 2 จาก โคดี้ กัคโป นั้น ก็ถือเป็นการประเดิมประตูแรกในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ แถมยังเป็นการยิงประตูในเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เช่นเดียวกับลูกพี่อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ หลังจากที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม 2018 อีกด้วย
ลักษณะการได้ 2 ประตูในเกมนี้บ่งบอกได้ดีถึงคุณภาพและสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของทีมที่เราคุ้นเคย ลูกแรกมาจากการโต้กลับจากหน้าประตูตัวเองซึ่งเราเห็นได้บ่อยครั้งในช่วงกำลังพีค ส่วนลูกที่สองมาจากการไล่บีบไล่เพรสซิ่งจนคู่ต่อสู้เสียบอลและเปลี่ยนเป็นเกมรุกอย่างรวดเร็ว จบที่การทำสกอร์
หลังจบเกมนายใหญ่เมืองเบียร์กลับมาได้รับคำชมอีกครั้ง เขาสามารถปลุกนักเตะที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงและรีดความสามารถของตัวเองออกมาพิสูจน์ให้แฟนบอลได้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ทีมนี้ก็ยังไม่ได้หมดน้ำยาไปซะทีเดียว
แต่ที่จะไม่ชมก็ไม่ได้ นั่นก็คือ ผู้เล่นทุกคนที่ตอบสนองต่อผลการแข่งขันอันย่ำแย่ที่ผ่านมาและกระตุ้นตัวเองให้กลับมาสู่ฟอร์มที่ควรจะเป็น พร้อมทั้งช่วยกอบกู้สถานการณ์ของทีมจากที่กำลังร่อแร่ให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และพร้อมเดินหน้าต่อไป
เราอาจจะยังบอกไม่ได้เต็มปากว่า ลิเวอร์พูล ทีมเดิมกลับมาแล้ว แต่ฟอร์มการเล่นเมื่อคืนนี้ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เราได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นมีศักยภาพพร้อมทุกด้าน เพียงแต่ที่ผ่านมาขาดซึ่งพลังงานในการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามรูปแบบการเล่นที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
และ 3 แต้มที่ได้มานี้อาจจะถือเป็นจุดเริ่มต้นในการกลับมาสู่เส้นทางที่จะเป็นของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้…