ย้อนกลับไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แฟนบอล ลิเวอร์พูล ส่วนหนึ่งแสดงความไม่พอใจที่สโมสรไม่กล้าทุ่มซื้อสตาร์ดังเข้ามาเสริมทัพในขณะที่คู่แข่งต่างทุ่มเงินหลักร้อยล้านปอนด์คว้าแข้งยอดแข้งกันอย่างน่าอิจฉา
แจ็ค กรีลิช, เจดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน, คริสเตียโน โรนัลโด้ และ โรเมลู ลูกากู นี่คือบรรดายอดนักเตะของยุโรปที่ย้ายทีมในตลาดซื้อขายรอบล่าสุด โดยทั้งหมดนี้ค่าตัวรวมกันกว่า 300 ล้านปอนด์ เฉลี่ยแล้วค่าตัวตกคนละ 60 ล้านปอนด์
มากกว่าที่ ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญากับ อิบราฮิมา โคนาเต้ จาก อาร์เบ ไลป์ซิก ด้วยราคาเพียง 36 ล้านปอนด์เกือบเท่าตัวเสียอีก
ตอนนั้นฤดูกาลใหม่ยังไม่เริ่ม หลายคนเริ่มวิตกกังวลว่าหากเกิดเหตุการณ์เหมือนซีซั่นที่แล้วจะทำอย่างไร ตัวสำรองจะทดแทนตัวจริงได้หรือไม่ และทีมจะต้องดิ้นรนเหมือนปีที่แล้วหรือเปล่า พวกเขาจะยังมีลุ้นแชมปือยู่หรือไม่
แต่เกมที่ ลิเวอร์พูล ต้องฟาดแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือคำตอบ!!
ก่อนเกม ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ใครจากการลงสนาม 6 นัด แต่ก็เสียฟอร์มเล็กน้อยในเกมลีกนัดล่าสุดด้วยการบุกไปโดนน้องใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด สร้างปัญหาในเกมที่เสมอกันอย่างดุเดือด 3-3 ก่อนจะบุกไปถล่ม ปอร์โต้ สิ้นชื่อ 5-1 ใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
ในขณะที่ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างอย่างเยี่ยมด้วยการกด เชลซี อยู่เกือบจะข้างเดียวที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และพวกเขาก็ยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้หนึ่งใน “เต็งแชมป์” ปีนี้ไปด้วยสกอร์ 1-0 แต่ก็โดนยอดทีมอย่าง เปแอชเช สอนบอลนิ่ม ๆ ไปด้วยสกอร์ 2-0 ใน UCL
แต่เมื่อสำรวจจากหน้ากระดาษและผลการแข่งขันเมื่อซีซั่นที่แล้ว หงส์แดง ค่อนข้างเป็นรองจากชื่อชั้นของผู้เล่นและความปราชัยคาบ้านเมื่อฤดูกาลก่อนแบบเละเทะ 4-1
รูปเกม 15 นาทีแรกดูเหมือนว่าเจ้าบ้านจะพยายามเล่นเกมของตัวเองและอาศัยความได้เปรียบของเสียงเชียร์ไล่บีบไล่บี้ผู้มาเยือน ทำเอาเป๋ไปมาอยู่พักใหญ่
แต่หลังจากนั้น เป๊ป ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นแชมป์เมื่อซีซั่นที่แล้ว จากการเล่นด้วยความเชื่อมั่น ระบบที่ทรงประสิทธิภาพ และความสามารถเฉพาะตัวที่เหนือกว่า ครองเกมได้จนจบครี่งแรก แถมมีโอกาสทำประตูมากกว่าถึง 4-1 เหมือนสกอร์ปีที่แล้วไม่มีผิด
สิ่งเดียวที่ ลิเวอร์พูล มีคือ ความโชคดี, โชคดีที่พวกเขายังไม่โดนยิงประตูขึ้นนำ เพราะเมื่อดูจากรูปเกมแล้ว หากโดยก่อนก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้ยังไงเหมือนกัน
แฟน หงส์แดง ตามสื่อโซเชียลต่างบ่นกันขรม บ้างก็ด่านักเตะ บ้างก็ด่าโค้ช บ้างก็ด่าการซื้อขาย บ้างก็บอกว่าเห็นมั้ย นักเตะแบบนี้จะไปสู้อะไรเค้าได้ โดนเลี้ยงกินตัว โดนแทงทะลุช่องตลอด จะเอาอะไรไปสู้
ทุกคนด่า ทุกคนบ่น…ไม่เว้นแม้แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์
แต่การก่นด่าของกุนซือชาวเยอรมันคือการกระตุ้นให้ลูกทีมกลับสู่ฟอร์ม กลับสู่เส้นทางของตัวเอง และพวกเขาก็กลับมาเป็น ลิเวอร์พูล ที่เราคุ้นเคย
นักเตะ หงส์แดง เปลี่ยนวิธีการเล่น ใช้บอลบนพื้น พยายามเก็บบอลไว้กับตัว และจ่ายบอลตรงตัวไปที่ริมเส้นมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่ประตูขึ้นนำ 2 ครั้งจากฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และทำให้ “แชมป์เก่า” ต้องลำบากไล่ตีเสมอทั้ง ๆ ที่ครึ่งแรกไม่ใช่แบบนี้
หลายคนชมนักเตะ ซิตี้ เรื่องความสามารถเฉพาะตัว แต่แข้งจากเมอร์ซีย์ไซด์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเลี้ยงบอลเก่งหรือเทคนิคดีก็สามารถสร้างปัญหาให้สตาร์ระดับเวิลด์คลาสของผู้มาเยือนได้เหมือนกัน
ความเร็วและความเฉียบขาดของ โม ซาลาห์ ความเข้าใจเกมของ ซาดิโอ มาเน การเซฟระดับเวิลด์คลาสของ อลิสซอน ความกล้าเล่นกล้าลุยของ เคอร์ติส โจนส์ ความเก๋าของ เจมส์ มิลเนอร์ และความแน่นอนของ ฟาน ไดค์-มาติป
สิ่งเหล่านี้คืออาวุธที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ มี และทำให้พวกเขาต่อกรกับ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างไม่เป็นรอง
ในขณะที่ เป๊ป ยอมรับว่าการเจอกับ ลิเวอร์พูล ทุกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาเชื่อว่านี่คือ 1 ใน 3 ทีมที่ดีที่สุดในโลกจากนักเตะที่พวกเขามี
และหากลูกยิงของ ฟาบินโญ ในช่วงท้ายเกมไม่โดน โรดรี้ พุ่งเข้ามาสกัด พวกเขาอาจจะกลายเป็น “เต็งหนึ่ง” อย่างสมบูรณ์แบบก็ได้ ใครจะรู้
แต่เชื่อว่าจากคุณภาพของทีมที่แสดงให้เห็นในเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่า พวกเขาคือ “ทีมลุ้นแชมป์” อย่างไม่ต้องสงสัย