แม้ว่าหลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล ดวลจุดโทษเอาชนะ เชลซี คว้าแชมป์ คาราบาวคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 9 รางวัล “แมนออฟเดอะแม็ตช์” จะตกเป็นของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่เชื่อว่าคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดน่าจะเป็น ควีวิน เคลเลเฮอร์ ที่ได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนี้
อย่างที่ทราบกันดีว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเลือกผู้รักษาประตูวัย 23 ปีเป็นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศตั้งแต่หลังจบเกมรอบรองชนะเลิศเลกที่ 2 ที่ หงส์แดง เอาชนะ อาร์เซนอล ได้ที่ แอนฟิลด์ โดยเขายืนยันว่านี่คือสัญญาลูกผู้ชายที่ให้ไว้กับลูกทีม
เชื่อว่าภายในทีมคงมีการคุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว และทุกคนก็เคารพการตัดสินใจของบอส แม้กระทั่ง อลิสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูตัวจริงก็พร้อมที่จะเป็นตัวสำรองและหนุนหลังมือกาวรุ่นน้องชาวไอร์แลนด์เหนือผู้นี้เช่นกัน
แม้ว่าก่อนเกม เจมี คาร์ราเกอร์ ตำนานนักเตะ ลิเวอร์พูล จะกล่าวถึงกรณีนี้ว่า เขารู้สึกประหลาดใจที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันตัดสินใจแบบนี้ โดยเฉพาะในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาด
แต่ คล็อปป์ ก็ไม่ได้สนใจ ในเมื่อเขาให้คำมั่นกับลูกทีม ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ เราจึงได้เห็น ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาในฐานะ 11 ตัวจริง พร้อมกับบทสัมภาษณ์ที่ยืนยันหนักแน่นจากนายใหญ่เมืองเบียร์ว่า “นี่คือรายการของเขา”
และนายทวารหนุ่มก็พิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จด้วยการเป็นคนยิงลูกจุดโทษคนสุดท้ายพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ลีกคัพ เป็นสมัยที่ 9 มากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้
อันที่จริง เคลเลเฮอร์ เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองตั้งแต่เมื่อซีซันก่อน ในเกม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 5 ที่บุกไปเอาชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ได้ถึงถิ่น 1-0 ซึ่งเป็นการลงสนามในเกมยุโรปครั้งแรกในชีวิตของเจ้าตัว เกมนั้นทำสถิติเซฟไป 4 ครั้ง เก็บคลีนชีตให้กับทีม และจากนั้นเป็นต้นมา เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ดันดาวรุ่งรายนี้ขึ้นมารั้งตำแหน่งมือสอง แทนที่ อาเดรียน นายด่านชาวสเปนทันที
อย่างไรก็ตาม, เจ้าตัวก็หายหน้าไปตั้งแต่ช่วงกลางซีซันก่อนจะกลับมาอีกทีในซัมเมอร์ที่ผ่านมา และได้รับโอกาสมากขึ้นในฤดูกาลนี้
สำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ ฟอร์มการเล่นของ เคลเลเฮอร์ ตลอด 120 นาทีบวกกับช่วงเวลาของการดวลลูกโทษนั้น เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม โชว์เซฟสำคัญ ๆ ช่วยทีมไว้ได้หลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะปัดลูกยิงที่ควรจะเป็นประตูของ คริสเตียน พูลิซิค ในนาทีที่ 5 และการใช้เท้าเซฟลูกยิงของ โรเมลู ลูกากู ได้อย่างเหลือเชื่อในระยะเผาขนช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเวลาปกติ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากสถิติการมีส่วนร่วมกับเกม นายด่านทีมชาติไอร์แลนด์มีสถิติการเตะเปิดเกมที่แม่นยำ โดยมีโอกาสเปิดบอล 20 ครั้งและก็เข้าเป้าทั้ง 20 ครั้ง คิดเป็น 100% เต็ม
ในขณะที่เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอย่างการดวลจุดโทษ ฝั่งของ เชลซี เล่นเกมจิตวิทยาด้วยการส่ง เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ลงสนามเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้โดยเฉพาะ หลังจากที่ เอดูอาร์ด เมนดี้ โชว์ฟอร์มเหนียวหนึบให้กับ สิงห์บลู เกือบตลอดทั้งเกม
จะว่าไปเหตุการณ์คล้าย ๆ กับที่เคยเกิดขึ้นกับ เชลซี ในนัดชิง คาราบาวคัพ เมื่อปี 2019 สมัยที่ เมาริซิโอ ซาร์รี ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม โดยตอนนั้นกุนซือชาวอิตาเลียนกำลังจะเปลี่ยน เกปา ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงออกจากสนามเพื่อให้ วิลลี กาบาเยโร นายด่านตัวสำรองลงไปเซฟจุดโทษกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่กลายเป็นว่าผู้รักษาประตูเจ้าของค่าตัว 71 ล้านปอนด์กลับปฏิเสธที่จะทำตาม ทำให้ ซาร์รี เกิดอาการหัวเสียยกใหญ่ ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาก็แพ้จุดโทษไป
เมื่อตัดสลับกลับมาในเกมนี้ เกปา ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง แต่เขาก็ได้โอกาสลงสนามไปเซฟจุดโทษอย่างที่ ทูเคิล ตั้งใจ โดยที่ เมนดี้ ไม่มีปริปากบ่นซักคำ
สำหรับเรื่องการตัดสินด้วยการดวลเป้า, ด้าน เคลเลเฮอร์ เองก็ถือว่าผ่านมาอย่างโชกโชนเหมือนกัน โดยเฉพาะในเกมที่เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในรอบควอเตอร์ไฟนอลที่ ลิเวอร์พูล ต้องไล่ตีเสมอและพลิกกลับมาเอาชนะในช่วงการยิงจุดโทษได้อย่างสุดดราม่า
การตัดสินแชมป์ในเกมนี้ก็เช่นกัน เมื่อผู้เล่นเอ้าท์ฟิลด์ทุกคนต่างยิงเข้าครบทั้ง 10 คนเหลือเพียงผู้รักษาประตูทั้ง 2 ฝั่งที่จะต้องมาดวลกัน และมันก็กลายเป็นโมเม้นท์ชี้ชะตาแชมป์ คาราบาวคัพ 2022
เคลเลเฮอร์ ซัดเข้าไปอย่างมั่นใจสมกับที่เคยเล่นเป็นกองหน้า หากแต่ เกปา ต้องเจอกับฝันร้ายซ้ำรอยปี 2019 ด้วยการที่ซัดบอลลอยโด่งข้ามคานอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูที่แพ้ในการดวลจุดโทษตัดสินแชมป์รายนี้ถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 3 ปี
หลังจบเกมว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่า เคลเลเฮอร์ คือ ผู้รักษาประตูมือสองที่ดีที่สุดในโลก!
ส่วนนายด่าน หงส์แดง กล่าวหลังเกมว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องมายิงจุดโทษที่เป็นประตูชัยแบบนี้ ในหัวคิดแต่เรื่องการเซฟลูกยิงของนักเตะฝั่ง เชลซี ซึ่งยิงดีกันทุกคน แต่ก็มีความสุขที่ยิงประตูให้กับทีมได้
และเชื่อว่าคืนที่ผ่านมาจะอยู่ในความทรงจำของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ตราบนานเท่านาน…..