เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ โธมัส ทูเคิล ที่เห็นพ้องต้องกันว่า ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ คือทีมที่คนส่วนใหญ่ต่างเอาใจช่วย และอยากจะเห็นพวกเขาประสบความสำเร็จ
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นทีมที่มีอดีตอันยิ่งใหญ่และกำลังกลับสู่เส้นทางนั้นอีกครั้งภายใต้การทำงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ พร้อมกับสไตล์การเล่นที่ดุดัน เร้าใจ ในแบบฉบับของ “เกเก้นเพรสซิง”
อย่างไรก็ตาม, ด้วยเหตุผลแค่นี้คงไม่พอที่จะทำให้ เป๊ป และ ทูเคิล เชื่อเช่นนั้น เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เข้าถึงผู้คนได้นั่นคือ แนวทางการบริหารสโมสรท่ามกลางการทุ่มเงินอย่างมหาศาลของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในช่วง 10 ปีหลัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรีเมียร์ลีก เป็นแหล่งรวมทีมมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก โดยการเริ่มต้นบุกเบิกลีกอย่างจริงจังของ “เสี่ยหมี” โรมัน อับบราโมวิช ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี เมื่อต้นทศวรรษที่ 2000 ตามมาด้วยการเปลี่ยนมือจาก ทักษิณ ชินวัตร เป็น ชีค มานซู ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วไหนจะตระกูลเกลเซอร์ ที่เข้ามาเป็นเจ้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ อาร์เซนอล ที่มี สแตน โครเอนเก้ เข้ามาถือหุ้น
ทีมเหล่านี้คือทีมที่มีเจ้าของรวยติดอันดับ 1 ใน 10 ของ พรีเมียร์ลีก ยังไม่นับเศรษฐีใหม่อย่าง นิวคาสเซิล ที่เตรียมเขย่าวงการอีกรายที่ตอนนี้พวกเขาคือทีมที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 1 แล้ว
ทีมแหล่านี้มีเจ้าของที่พร้อมเปย์อย่างไม่อั้นเพื่อหานักเตะที่ดีที่สุดมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมในการสู้ศึกใหญ่ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก
2 ทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 10 ปีหลังสุดคงหนีไม่พ้น เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะพวกเขาคือทีมที่ทุ่มเงินในตลาดซื้อขายมากที่สุดซึ่งถ้านับตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมาหรือตั้งแต่ปี 2001-2022 ทีม สิงห์บลู นำมาเป็นอันดับ 1 โดยใช้เงินไปทั้งสิ้น 2.2 พันล้านปอนด์ในขณะที่ ซิตี้ ทุ่มเงินเพื่อเป็นแชมป์เป็นอันดับ 2 โดยหมดไป 2.09 พันล้านปอนด์…หากแต่เงินไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ถือเป็นตัวอย่างในเรื่องของการที่ไม่ล้มเหลวจากการใช้เงิน เพราะถึงแม้ว่านับตั้งแต่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ปีศาจแดง จะทุ่มงบประมาณเสริมทัพมากที่สุดเป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 1.8 พันล้านปอนด์ ส่วน เดอะกันเนอร์ส ตามมาเป็นอันดับ 5 ใช้เงินไปทั้งหมด 1.2 พันล้านปอนด์ แต่ในช่วง 6-7 ปีหลังมานี้ทั้งสองทีมยังต้องดิ้นรนเพื่อการไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เกือบทุกปี
เมื่อมามองที่ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็ใช่ว่าจะเป็นทีมที่ไม่มีเงิน 20 กว่าปีที่ผ่านมา หงส์แดง ทุ่มงบประมาณสูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของลีกที่ 1.4 พันล้านปอนด์ แต่เมื่ออยู่ในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ พวกเขากลับใช้ไปไม่ถึง 300 ล้านปอนด์ในการเสกแชมป์ 6 รายการในระยะเวลาเพียง 3 ปี
แนวทางการบริหารจัดการทีมของ ลิเวอร์พูล นั้นถูกพูดถึงอย่างมากในช่วง 5 ปีหลัง และเป็นตัวอย่างให้กับหลาย ๆ ทีมได้เดินตามรอย ตั้งแต่การมีแนวทางและไสตล์การเล่นที่ชัดเจน นำไปสู่การคัดเลือกนักเตะที่เข้ากับแผนการทำทีมมากกว่าการเน้นชื่อเสียงและโปรไฟล์ในงบประมาณที่เหมาะสม จากนั้นอาศัยระยะเวลาในการบ่มเพาะจนได้ทีมที่แข็งแกร่งอย่างในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม, แผนงานจะประสบความสำเร็จไม่ได้หากไม่มีทีมงานที่เก่งและยอดเยี่ยมที่คอยสนับสนุนแนวคิดของผู้จัดการทีมเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งแม้แนวทางนี้จะไม่ถูกใจสายเปย์ซักเท่าไหร่ แต่ผลที่ได้ก็ยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก
ภาพนักเตะที่ชูถ้วย เอฟเอคัพ เมื่อคืนนี้หากเราพิจารณากันดี ๆ จะเห็นว่ามีแข้งหน้าใหม่เพียง 2 รายจากเมื่อซีซั่นก่อน นั่นคือ อิบราอิมา โคนาเต้ และ หลุยส์ ดิอาซ ซึ่ง 2 คนนี้ค่าตัวรวมกันไม่ถึง 100 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำ แต่สามารถเข้ากับระบบทีมได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นตัวหลักได้อย่างสบาย ๆ
ทั้ง ๆ ที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วพวกเขาเกือบจะไม่ได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก แถมยังทำสถิติที่ไม่น่าจดจำด้วยการพ่ายคาบ้าน 6 นัดรวดมาแล้ว แต่ทำไม เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงไม่มีการล้างไพ่ซื้อนักเตะเพื่อสร้างทีมใหม่ ซึ่งหากเป็นทีมใหญ่ ๆ ต้องมีการทุ่มเงินอย่างน้อย 100 ล้านปอนด์เพื่อแก้ไขปัญหา
นั่นเป็นเพราะโครงสร้างของทีมที่นายใหญ่ชาวเยอรมันวางเอาไว้นั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว เพียงแค่การขาด เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปคนเดียวซึ่งส่งผลต่อระบบของทีม แต่เมื่อพี่ยักษ์กลับมาทุกอย่างก็ลงล็อค พวกเขาใช้ผู้เล่นแทบจะชุดเดิมในการลุยซีซันใหม่และพาทีมลุ้น 4 แชมป์ได้แบบเหลือเชื่อ
พูดง่าย ๆ ว่า คล็อปป์ ไม่ใช่กุนซือที่ทุ่มเงินซื้อนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่เขาเกิดมาเพื่อสร้างรากฐานให้กับสโมสร รวมทั้งการปลุกจิตวิญญาณของกองเชียร์และคนในชุมชนให้ลุกขึ้นมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนักเตะของพวกเขา และที่สำคัญไม่เคยทนงตนว่าเป็นยอดกุนซือแม้แต่น้อย
“คล็อปป์ เป็นหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดในโลก นั่นคือสิ่งที่เขาทำ ตอนที่คุม ดอร์ทมุนด์ คนทั้งประเทศก็รักพวกเขา และเมื่อตอนนี้เขามาคุม ลิเวอร์พูล คุณก็จะรู้สึกได้ว่าคนทั้งประเทศก็รัก ลิเวอร์พูล เหมือนกัน” นี่คือสิ่งที่ ทูเคิล พูดถึงกุนซือเพื่อนร่วมชาติ
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล คือบทพิสูจน์ว่า ความสำเร็จไม่อาจวัดกันด้วยการทุ่มเงินมหาศาล หากแต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีและแนวทางการทำงานที่ชัดเจน และยึดถือตามนั้นอย่างไม่ย่อท้อ
ต้องรู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และเป้าหมายคืออะไร และทุกอย่างที่ต้องการก็จะตามมา…