เกมที่โดน อาร์เซนอล เฉือนชนะไป 3-2 เมื่อคืนวันอาทิตย์นั้น นอกจากจะถูกมองว่าเป็นวิกฤติหนักสุดที่ ลิเวอร์พูล กำลังเผชิญหน้าอยู่ ประเด็นเรื่องนโยบายการสร้างทีมของ FSG ก็กลับมาถูกตั้งคำถามอีกครั้งเช่นกัน
ทราบกันดีว่าแต่เดิมนโยบายหลักการซื้อขายผู้เล่นของทีม หงส์แดง คือการเน้นความคุ้มค่า เน้นซื้อนักเตะจากสถิติส่วนตัว และราคาไม่แรง เราได้เห็นเรื่องนี้อย่างเด่นชัดนับตั้งแต่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายเข้ามารับงานเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
โดยผลพวงของการดำเนินการตามนโยบายเหล่านี้ในระยะเวลา 3 ปีแรกทำให้เราได้เห็นนักเตะที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างหลายคนย้ายมาแจ้งเกิดที่ แอนฟิลด์ เต็มไปหมด ไล่ไปตั้งแต่ ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, โจเอล มาติป, ฟาบินโญ, นาบี เกอิต้า, และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน
ส่วนนโยบายอีกด้านหนึ่งที่ทำควบคู่กันไปคือ การซื้อตัวที่จำเป็นต้องซื้อจริง ๆ ไม่ว่าจะแพงขนาดไหน พูดง่าย ๆ ว่าเป็นพวกที่ซื้อแล้วเล่นได้เลย ไม่ต้องปั้น ซึ่งนักเตะกลุ่มนี้ ได้แก่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ตอนนั้นค่าตัวของพวกเขาเคยเป็นสถิติโลกมาแล้ว
ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ลิเวอร์พูล โชคดีที่ถูกบังคับให้ต้องขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ ไปให้กับ บาร์เซโลนา เป็นสถิติของสโมสรในราคาสูงถึง 142 ล้านปอนด์ ซึ่งมันทำให้พวกเขามีเงินหมุนเวียนในระบบมากกว่าเดิมและดำเนินธุรกิจในตลาดนักเตะได้อย่างคล่องตัว
ผลลัพธ์จากการดำเนินนโยบายซื้อขายนับตั้งแต่ปี 2016, นอกจากทำให้ได้ผู้เล่นฝีเท้าดีในราคาเฉลี่ยไม่แพงจนเกินไป ยังทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จด้านฟุตบอลอย่างสูง ทั้งการได้แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก และ แชมป์ พรีเมียร์ลีก ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อฤดูกาลที่แล้วกับการคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยอย่าง คาราบาวคัพ และ เอฟเอคัพ ซึ่งถ้าจะนับ คอมมูนิตี้ชิลด์ ไปด้วยก็ไม่น่าเกลียด
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างสถิติเอาไว้มากมาย ทั้งการเป็นกุนซือคนแรกของ ลิเวอร์พูล ที่พาทีมคว้าแชมป์สโมสรโลก และกลายเป็นผู้จัดการทีมที่กวาดแชมป์ทุกรายการในอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย
การใช้เงินน้อยแต่ประสบความสำเร็จของนายใหญ่ชาวเยอรมันในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้รับการยอมรับจากคนในวงการฟุตบอลรวมทั้งแฟนบอลทีมต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้พวกเขาคือหนึ่งในโมเดลการสร้างทีมฟุตบอลสมัยใหม่ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ความยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็หายวับไปกับตาเพียงชั่วข้ามคืน เพียงแค่หลังเปิดฤดูกาลใหม่ไปไม่กี่เดือน
หลังความพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซนอล ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มีการตั้งคำถามว่านโยบายการซื้อขายของ เดอะเร้ดส์ หลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา บรรดาทีมท็อปซิกต่างทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงผู้เล่นฝีเท้าดีมาร่วมทีม โดยพวกเขาไม่เกี่ยงเรื่องความคุ้มค่าหรือราคาที่เป็นมิตรเหมือนอย่างที่ หงส์แดง ตระหนักมาตลอด นั่นจึงทำให้ท็อป 5 ของทีมที่จ่ายหนักไม่มีทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อยู่ในนั้น
แม้จะคว้า ดาร์วิน นูนเญซ ด้วยราคารวม 85 ล้านปอนด์ ทุบสถิติสโมสร แต่ ลิเวอร์พูล ก็รั้งอันดับ 10 ของทีมที่ใช้เงินสูงที่สุดเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ในราคารวม 99.2 ล้านปอนด์ ซึ่ง ณ เวลานั้น คล็อปป์ และทีมงานประเมินว่าเพียงพอแล้วสำหรับการไล่ล่าแชมป์ในฤดูกาลใหม่
ในขณะที่อีก 5 ทีมต่างใช้เงินในระดับ 100 ล้านปอนด์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซนอล ที่เอาชนะพวกเขามาเมื่อวันอาทิตย์และกลับไปนำเป็นจ่าฝูงก็ใช้เงินไป 115 ล้านปอนด์กับนักเตะ 5 คน อยู่อันดับ 9 ของทีมที่จ่ายมากสุด
ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังไล่บี้กับ เดอะกันเนอร์ส บนตาราง พรีเมียร์ลีก ก็ใช้เงินสูงสุดเป็นอันดับ 6 ที่ 124 ล้านปอนด์กับนักเตะ 5 คน ในขณะที่ เชลซี นำโด่งมาเป็นอันดับ 1 กับเงิน 258 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย แมนฯ ยูไนเต็ด 214 ล้านปอนด์ และ สเปอร์ส 155 ล้านปอนด์
ตัวเลขเหล่านี้กำลังบอกเราว่า หากคุณต้องการประสบความสำเร็จก็ต้องกล้าลงทุน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากผลงานบนตาราง
ฉะนั้น ด้วยสถานการณ์อันยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงไม่สามารถแบกทีมด้วยนโยบายรัดเข็มขัดหรือเน้นความคุ้มค่าได้อีกต่อไป พวกเขาต้องเดินหน้าอย่างจริงจังเหมือนกับที่เคยตัดสินใจคว้าตัว หลุยส์ ดิอาซ มาร่วมทีม ซึ่งการลงทุนครั้งนั้นทำให้ทีมก้าวขึ้นมามีลุ้น 4 แชมป์จนวันสุดท้ายของฤดูกาล
และอาจต้องเริ่มจากตลาดเดือนมกราคมนี้เลย!