ผลการแข่งขันในเกมเมื่อคืนนี้ของ ลิเวอร์พูล เหมือนจะเป็นการย้ำเตือนบรรดาแฟนบอลของพวกเขาว่า ปัญหาที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเผชิญในฤดูกาลนี้จะยังไม่หมดไปและมันจะตามหลอกหลอนอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกับเกมที่พ่ายให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ไป 3-1
หลังจบฟุตบอลโลกมา หงส์แดง สามารถกลับมาเก็บ 6 แต้มเต็มจากการพบกับ แอสตัน วิลลา และ เลสเตอร์ ซิตี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ฟอร์มของพวกเขาก็ไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่ ในเกมที่เฉือนชนะลูกทีม อูไน เอเมรี ก็เล่นได้ดีแค่ครึ่งเดียว ส่วนนัดที่ชนะ จิ้งจอกสยาม รูปเกมก็ไม่ได้เหนือกว่าและเป็นนักเตะทีมเยือนที่ทำเข้าประตูให้ถึง 2 ลูก ได้ 3 คะแนนมาแบบโชคช่วย
ผ่าน 2 เกมนั้นมาเราอาจจะสบายใจกับ 6 แต้มที่เกิดขึ้น แต่พอมาถึงเกมที่ออกไปเยือน เบรนท์ฟอร์ด กุนซือ โธมัส แฟรงค์ ก็ได้ทำให้เห็นว่าผลการแข่งขันก่อนหน้านี้ อาจเป็นภาพลวงตาก็ได้
ลิเวอร์พูล จัดชุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แนวรับเปลี่ยนแค่ คอสตาส ซิมิคาส ลงเล่นแทน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่มีปัญหาเรื่องความฟิตจากเกมที่แล้ว ส่วนกองกลางไม่มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จึงต้องส่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียต ลงเล่นร่วมกับ ฟาบินโญ และ ติอาโก้ อัลคันทารา แดนหน้า 3 ตัวบนยังเหมือนเดิม อ็อกซ์เหลด ยืนด้านซ้าย นูนเญซ หน้าเป้าและด้านขวาเป้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ภายใต้ระบบ 4-3-3
เข้าใจว่า คล็อปป์ พยายามรักษาสมดุลของทีมให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ยังมีปัญหาผู้เล่นได้รับบาดเจ็บอยู่หลายคน แต่การลงเล่น 3 เกมในรอบ 7 วัน นับตั้งแต่ช่วงบ็อกซิ่งเดย์เป็นต้นมานั้น มันส่งผลอย่างมากต่อฟอร์มการเล่นของพวกเขาจริง ๆ
ลิเวอร์พูล ยังคงเจอกับปัญหาเดิม ๆ จากเกมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเสียประตูก่อนอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะเรื่องของการจบสกอร์จาก นูนเญซ และ ซาลาห์ ในขณะที่ เบรนท์ฟอร์ด ไม่ต้องการอะไรมาก พวกเขารู้ว่าจะต้องเล่นอย่างไร ว่าแล้วก็อัดกองกลางเข้ามาถึง 5 คนในระบบ 3-5-2 ซึ่งเป็นแท็คติกที่ต้องการใช้ตัวผู้เล่นที่มากกว่าช่วยไล่บดบี้แดนกลางของทีมเยือนและในเกมรุกพวกเขาก็ใช้วิธีวางบอลยาวให้หน้าคู่เข้าไปวัดกับ ฟาน ไดค์ และ โคนาเต้ ซึ่งก็สามารถปั่นป่วนได้ตามแผน
ลูกทีมของ คล็อปป์ ครองบอลได้มากกว่าก็จริง แต่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ ต่างจากเจ้าบ้านที่เล่นด้วยความดุดัน เข้าไล่บอลทั้ง 11 คนเพื่อไม่ต้องการให้ฝั่งตรงข้ามออกบอลง่ายและใช้วิธีเล่นเกมรุกที่สุดแสนจะธรรมดาแต่ทรงประสิทธิภาพ ทั้งการวางบอลยาวและลูกเซ็ตพีซซึ่งทำให้พวกเขาได้ 2 ประตูในครึ่งแรกด้วย
ลิเวอร์พูล มีฮึดกลับมาช่วงต้นครึ่งหลัง แต่หลังจากนั้นก็ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันจน โคนาเต้ มาทำพลาดช่วงท้ายเกม โดนประตูที่ 3 ตอกตะปูปิดฝาโลงกลับบ้านมือเปล่า
นั่งดูเกมนี้ก็เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง เราพบว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ พวกเขายังครองบอลได้และมีโอกาสในการทำประตูเหมือนเดิม คุณภาพของนักเตะก็แทบไม่หนีไปจากเมื่อซีซันก่อนด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ต่างกันคือสภาพจิตใจ ทัศศนคติและอายุที่มากขึ้น จึงทำให้ประสิทธิภาพในเกมการเล่นของพวกเขาลดน้อยลงไปด้วย
คุณภาพนักเตะของ เบรนท์ฟอร์ด วัดกันแบบตัวต่อตัวไม่มีอะไรที่สู้ หงส์แดง ได้เลย แต่การเจอกับทีมใหญ่แบบนี้พวกเขามีแรงกระตุ้นและความกระหายที่อยากจะเอาชนะมากกว่า บวกกับแท็คติกชั้นครูของ โธมัส แฟรงค์ จึงทำให้สามารถสยบ ลิเวอร์พูล ได้แบบไม่ยากเย็น
ใช่แล้ว “แรงกระตุ้นและความกระหาย” คือสิ่งที่นักเตะ ลิเวอร์พูล มีแต่ไม่เท่ากับแข้งเจ้าบ้านในเกมเมื่อคืนนี้ ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาแพ้อย่างหมดรูป
ไม่ใช่ว่าลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่อยากเอาชนะคู่แข่ง แต่พวกเขาแค่ไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อยเหมือนเมื่อก่อน ด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งมันทำให้คุณภาพของเกมหายไป แม้ว่าจะเล่นในวิธีการเดิมก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อซีซัน 2020-2021 ที่พวกเขาเจอกับปัญหาการบาดเจ็บ ตอนนั้นมันต่างกันตรงที่ไม่ได้ต้องการนักเตะใหม่เพื่อเข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่ง แต่แค่รอคอยให้ผู้เล่นเก่า ๆ กลับมาเพราะทุกคนกำลังอยู่ในช่วงพีคเพิ่งคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาได้ ซึ่งจะเห็นว่าพอทีมเริ่มเข้าที่เข้าทางช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายก็โกยแต้มเข้าวินคว้าที่ 3 มาครองได้
ต่อเนื่องมาในซีซัน 2021-2022 หรือเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล ได้นักเตะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาพวกเขาใช้นักเตะแทบจะชุดเดิมที่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ฝ่าฟันจนมีลุ้น 4 แชมป์มาแล้ว และนั่นคือจุดสูงสุดของนักเตะเหล่านั้น ซึ่งไม่แปลกที่ซีซันนี้แต่ละคนจะโรยราและหมดความกระหาย
แล้วเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร?
ก็คงต้องบอกว่าในตลาดเดือนมกราคม คล็อปป์ และทีมงานต้องเดินหน้าอย่างจริงจังเพื่อหากองกลางดี ๆ มีระดับหรือเล่นเข้ากับระบบได้ซักคนหรือ 2 คนเพื่อเข้ามาสร้างไอ้คำว่า “แรงกระตุ้นและความกระหาย” ที่มันหายไป
สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ มันทำให้คนเราหมดแพสชั่น แม้จะมีการกระตุ้นจากภายในแต่มันก็คงไม่พอ ดังนั้นการหาอะไรใหม่ ๆ เข้ามาสู่ทีมจึงจะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ และนำเอาความสดชื่นมาให้ผู้เล่นได้อีกครั้ง
เมื่อนักเตะลงเล่นด้วยความกระหายและมีแรงกระตุ้นที่จะประสบความสำเร็จ ความอยากเอาชนะมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อผลงานดีความมั่นใจก็กลับมา มันเป็นตรรกะง่าย ๆ ของชีวิตที่ ลิเวอร์พูล สามารถทำได้
เยอร์เก้น คล็อปป์ อาจจะเชื่อมั่นในทีมชุดนี้มากเกินไป แต่ในเมื่อผลการแข่งขันมันยังวนลูปอยู่แบบนี้ เขาก็รู้แล้วว่าในตลาดที่กำลังเปิดทำการจะต้องเดินเรื่องทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้น การได้นักเตะใหม่จะเหมือนกับโชค 2 ชั้น เพราะนอกจากจะทำให้ผลงานกระเตื้องแล้วยังสามารถปลุกความกระหายและความเชื่อมั่นให้กลับมาสู่ทีมได้อีกด้วย