เยอร์เก้น คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล ประสบความพ่ายแพ้เมื่อใด จุดหนึ่งที่เขามักจะถูกโจมตีจากแฟนบอลและบรรดากูรูพร้อมกับชี้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ทีมฟอร์มตกต่ำนั่นก็คือ ความภักดีต่อผู้เล่นตัวหลักมากจนเกินไป
ไม่ใช่เรื่องที่ดูโอเวอร์เกินไปเลยทที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะรักนักเตะของ ลิเวอร์พูล มากขนาดนี้ เพราะนักเตะชุดหลักหลายคนที่เหลืออยู่ ร่วมแรงกันไล่ล่าไขว่คว้าความสำเร็จและเกียรติยศมาแต่งเติมในประวัติศาสตร์ของ หงส์แดง ได้หมดทุกรายการแล้ว จึงไม่แปลกที่ความผูกพันธ์มันจะมากเกินคณานับ ซึ่งการจะถอนตัวจากความรักที่มีให้กัน…ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก
ส่วนหนึ่งมาจากเมื่อครั้งที่ไม่สามารถคว้าตัว ออเรเลียง ชูอาเมนี มาจาก โมนาโก ในช่วงซัมเมอร์ได้ นายใหญ่ชาวเยอรมันได้ออกมายืนกรานว่า เขายังให้ความไว้วางใจกองกลางชุดเดิมที่มีอยู่และจะยังใช้งานนักเตะชุดนี้ต่อไปในการต่อสู้เพื่อลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2022-2023 ที่กำลังจะมาถึง
แต่กลายเป็นว่าเมื่อเล่นกันไปเรื่อย ๆ จากแผงมิดฟิลด์ที่เคยพาทีมลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลก่อน กลับกลายเป็นเพียงแค่ “กรวย” ที่โดนคู่ต่อสู้เลี้ยงผ่านและต่อบอลทะลุถึงแนวรับได้อย่างง่ายดาย จนทำให้ทีมมีผลงานที่ย่ำแย่และนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ย่างเข้าปี 2023
นาบี เกอิต้า และ สเตฟาน บายจ์เซติช ถูกดึงเข้ามาสู่ทีมแทนที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ ที่ทั้งโรยรา ฟอร์มตก และหมดไฟ โดยยังมี ติอาโก้ อัลคันทารา ยืนเป็นตัวหลักเพื่อหวังให้รูปแบบ ‘เกเก้นเพรสซิ่ง’ กลับมาน่าเกรงขามเหมือนที่เคยเป็นมา แต่จนถึงเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงจุดที่ลงตัวซักที
เอาจริง ๆ แล้วในช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาว เยอร์เก้น คล็อปป์ มีโอกาสที่จะเสริมนักเตะแดนกลาง จะด้วยการยืมตัวชั่วคราวหรือซื้อขาดถาวรก็ตาม แต่ท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจไม่ซื้อใครเพิ่ม พร้อมยืนยันหลังจบเกมที่แพ้ต่อ ไบรท์ตัน ในศึก เอฟเอคัพ รอบ 5 ว่า “ทีมชุดนี้ดีอยู่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้ทำให้นายใหญ่เมืองเบียร์ถูกวิจารณ์และโดนตำหนิว่า เขายึดมั่นและภักดีต่อนักเตะชุดปัจจุบันมากเกินไปจนมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
“ใช่ ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน ผมได้ยินมาก่อนหน้านั้นแต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมไม่ได้ภักดีเกินไป ผมภักดีจริง ซึ่งก็คิดว่าทุกคนควรมีสิ่งนี้ แต่ผมไม่ได้ภักดีเกินไป”
“ปัญหามันซับซ้อนมาก คุณมีผู้เล่นที่เคยทำสิ่งดี ๆ มามากมายในอดีต นั่นคือสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ ซึ่งคุณอาจจะคิดว่าถ้าเราลงสู่ตลาดแล้วดึงเอานักเตะดี ๆ เข้ามาแทนที่ได้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เป็นความคิดที่ดี แต่ถ้าไม่มีคนย้ายออก เราก็ดึงใครเข้ามาไม่ได้”
“นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นคำถามที่ดูฉลาด แต่ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่คุณจะนำมาตอบคำถามนี้ นั่นคือปัญหาเดียวที่มี แต่ผมไม่ได้เป็นพวกที่ภักดีเกินไป”
เยอร์เก้น คล็อปป์
แม้จะออกมาปฏิเสธ แต่จากบทสัมภาษณ์ทั้งหมดที่ยกมานั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า คล็อปป์ เป็นโค้ชที่ยึดติดกับนักเตะชุดหลักชุดเดิมอย่างต่อเนื่อง ลองไล่เรียงรายชื่อตั้งแต่ตอนคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2019 จนมาถึงทีมที่ลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลก่อน เห็นได้ว่ามีเพียง ติอาโก้ อัลคันทารา เท่านั้นที่ถูกดึงเข้ามาแทนที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ในแดนกลางและ หลุยส์ ดิอาซ ที่ตามมาสมทบเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว
อย่างที่บอกไปว่าจริง ๆ นายใหญ่เมืองเบียร์มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะพลาด ชูอาเมนี ไปก็จริง แต่ถ้าต้องการรักษาระดับทีมเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ก็ต้องดึงใครซักคนเข้ามาเติมแดนกลาง ซึ่งไม่น่าจะใช่นักเตะอย่าง อาร์ตู เมโล ที่ถือเป็นความล้มเหลว
สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าบทสัมภาษณ์ของ เจมี คาร์ราเกอร์ นั้นคือเรื่องจริง! หลังจากที่เขากล้าออกมาสวนกระแสโดยเชื่อว่า ผลงานที่ย่ำแย่ในเวลานี้ไม่ใช่เพราะ FSG ไม่อนุมัติเงินให้ซื้อนักเตะใหม่ แต่เป็น คล็อปป์ และทีมงานเองต่างหากที่ยืนยันว่าต้องการใช้ผู้เล่นชุดเดิมทั้ง ๆ ที่โอกาสเปิดกว้างอยู่เป็นเดือน
จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ก็มีคนเห็นต่างอยู่บ้าง อย่าง แดนนี เมอร์ฟี อดีตกองกลาง หงส์แดง ยุค เชร์ราร์ด อุลลิเยร์ ได้ออกมาสนับสนุนให้ คล็อปป์ ยึดมั่นใน 2 ผู้เล่นอย่าง เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ เอาไว้ต่อไปเมื่อดูจากผลงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอดีตมิดฟิลด์หัวเตารีดรายนี้มั่นใจว่า หากทั้งคู่ได้ลงสนามต่อเนื่อง เดี๋ยวฟอร์มก็จะกลับมาดีขึ้นเอง
หากแต่สิ่งที่เราได้เห็นมาตลอดนั้นมันไม่เป็นอย่างที่ เมอร์ฟี คิด ดังนั้นการจะรักษามาตรฐานการเล่นให้ยืนระยะอยู่ในจุดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องนั้น สิ่งที่สำคัญคือเรื่องการต้องยอมเปลี่ยนแปลงทีม เหมือนดังที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำมาก่อน ด้วยการยอมปล่อยตัวผู้เล่นระดับสตาร์ออกจากทีม หากว่าไม่มีใจหรือศักยภาพไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น ยาป สตัม, เดวิด เบ็คแฮม, รุด ฟาน นิสเตอรอย และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ยังพาทีมประสบความสำเร็จจนถึงวันที่เกษียณตัวเองจากวงการ
แม้กระทั่ง อาร์แซน เวนเกอร์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2000 ที่ยอมปล่อย มาร์ค โอเวอร์มาร์ส และ เอ็มมานูเอล เปอตี 2 คีย์แมนสำคัญในทีมแชมป์ปี 1996 ให้กับ บาร์เซโลนา พร้อมสร้างทีมใหม่ที่ในเวลาต่อมาก็สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ และหนึ่งในนั้นคือทีมชุด “อินวินซิเบิ้ล” เมื่อปี 2004
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพียงเล็กน้อยของการไม่ยึดติดกับนักเตะเดิม ๆ เพื่อก้าวไปข้างหน้า ซึ่งใช่ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่เคยทำ เพียงแต่ฤดูกาลนี้ เขาขยับตัวช้าเกินไป มันจึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างที่เราได้เห็น
หวังกันไว้ว่า ในตลาดซัมเมอร์หน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นอย่างที่เป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นการได้รับงบไม่อั้นในการเสริมทัพ รวมทั้งการได้มิดฟิลด์อย่างน้อย 2 รายเข้ามาสู่ทีมเพื่อยกระดับให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม และอย่างน้อยก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า คล็อปป์ ไม่ใช่กุนซือที่ภักดีและยึดติดกับผู้เล่นชุดเดิม ๆ มากจนเกินไป