5 ประเด็นที่ต้องพูดถึงหลัง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านยำใหญ่ แมนฯยู

ศึก “แดงเดือด” เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเกมที่แฟนบอล ลิเวอร์พุล มีความสุขมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หลังจากพลพรรค “หงส์แดง” เดินหน้าไล่ถล่มอริตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบหมดทางสู้ด้วยสกอร์ 7-0

ชัยชนะนัดนี้ถือเป็นผลการแข่งขันที่ห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ในการพบกันของทั้ง 2 ทีม  แทนที่สถิติเดิม ซึ่ง ลิเวอร์พูล เคยชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 7-1 ในศึกดิวิชั่น 2  เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1985 หรือ เมื่อ 128 ปีก่อน

การเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในฤดูกาลนี้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมเลยก็ว่าได้ และนี่คือ 5 เรื่องหลักที่ควรพูดถึง หลังเกมส่ง “ปีศาจแดง” กลับบ้านแบบสุดเจ็บปวด

1. เปลี่ยน 3 ผู้เล่น และให้โอกาส ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ต่อไปใน ศึก “แดงเดือด”

คงไม่มีใครแปลกใจกับการกลับมาของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าเจ้าตัวจะฟอร์มตกตลอดทั้งฤดูกาลก็ตาม โดยกัปตันทีมวัย 32 ปี ได้โอกาสก่อน สเตฟาน บายจ์เซติช กองกลาวดาวรุ่งที่ยึดตัวจริงมาตลอดในช่วงหลัง

ขณะเดียวกัน ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ยึดตัวจริงในบทบาทมิดฟิลด์ตัวกลางฝั่งขวาอย่างต่อเนื่องจากเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และดาวเตะวัย 19 ปี ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ และตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

โคดี กัคโป หัวหอกชาวดัตช์ กลับมาลงเป็นตัวจริงแทนที่ของ ดิโอโก้ โชต้า ที่ยังต้องเรียกความฟิต และจังหวะการเล่นกับมาอีกสักพัก ส่วน แอนดรูว์  โรเบิร์ตสัน กลับมายึดตำแหน่งแบ็คซ้ายแทน คอสตาส ซิมิกาส แม้ แบ็คชาวกรีซ จะทำผลงานได้ดีในเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็ตาม

การตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่น 3 คน ของ คล็อปป์ ไล่ตั้งแต่หลัง กลาง หน้า ทำให้ ลิเวอร์พูล ระเบิดฟอร์มพิชิต แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แบบน่าเหลือเชื่อ

2. โคดี้ กัคโป พร้อมก้าวขึ้นมาแทน โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่

ข่าวใหญ่กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังชัยชนะเหนือ วูล์ฟแฮมป์ตัน คือ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ดาวยิงชาวบราซิล ประกาศอำลาถิ่น แอนฟิลด์ แบบไร้ค่าตัวหลังจบฤดูกาล และตอนนี้ คล็อปป์ ก็ไม่ต้องมองหา False9 คนใหม่อีกแล้ว

คล็อปป์ เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ สำหรับการจากไปของ ฟิร์มิโน่ ด้วยการคว้าตัว กัคโป มาจาก พีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น เมื่อตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ โดย หัวหอกชาวดัตช์ แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นการลุงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า

กัคโป ออกสตาร์ทในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยบทบาท False9 ซึ่งดูเหมือนว่า เจ้าตัวจะเริ่มเข้าใจแท็คติค และเริ่มปรับตัวกับระบบของ คล็อปป์ ได้แล้ว และสถิติซัดไป 4 ประตูจาก 5 เกมลีกหลังสุดนั้น น่าประทับใจอย่างยิ่ง

อดีตเด็กปั้น พีเอสวี เคลื่อนที่ได้อย่างชาญฉลาด สัมผัสบอลแรกนิ่มนวล เทคนิคการเอาตัวรอดยอดเยี่ยม และจบสกอร์คมกริบ และทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ กัคโป สามารถเข้ามาทดแทน ฟิร์มิโน่ ได้อย่างไร้รอยต่อ

3. ชัยชนะในเกมบิ๊กแมทช์

ลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่ได้ชนะในเกมใหญ่ได้เสมอไปในฤดูกาลนี้ แต่พลพรรค “หงส์แดง” ยกระดับการคุณภาพเล่นของตัวเองขึ้นมาพอสมควรในระยะหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ความมุ่งมั่น และแท็คติคในการเผชิญหน้าคู่ต้อสู้

การบุกไปเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนาม เซนต์ เจมส์ ปาร์ค 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะโดน เรอัล มาดริด บุกมาอัดถึงบ้าน 2-5 ซึ่งหลายคนมองว่า “หงส์แดง” จะต้องเสียกระบวนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่า ยังมีมาตรฐานการเล่นที่ไว้ใจได้ และนักเตะยังมีความเชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ระดับเดียวกัน หรือทีมที่กำลังฟอร์มร้อนแรงกว่าได้

4. โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ยังคงเป็น “คิง ออฟ อิยิปต์”

ซาล่าห์ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็นอีกแล้ว แต่ปัญหาในปีนี้คือ เขาต้องเล่นร่วมกับนักเตะใหม่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ กัคโป เป็นหลัก ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับจูนเข้าหากัน และดูเหมือนว่า 3 ประสานยุคใหม่กำเนิดขึ้นแล้ว

ในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ปีกชาวอิยิปต์ แสดงให้เห็นว่า ยังเป็นนักเตะระดับโลก โดยบรรดาแนวรับ “ปีศาจแดง” ไม่สามารถหยุดเขาได้เลย และการปล่อยให้ ดาวเตะวัย 30 ปี มีพื้นที่ว่างเพียงนิดเดียวมันอาจหมายถึงการเสียประตูทันที

ซาล่าห์ ซัดไปแล้ว 22 ประตู จาก 37 เกมรวมทุกรายการ และการยิงใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด 2 ประตู ก็ทำให้เจ้าตัวขึ้นแท่นมีสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดใน พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล ด้วยจำนวน 129 ประตู

5. ลุ้นท็อปโฟร์เต็มตัวหลังจบเกม ศึก “แดงเดือด”

มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ กับผลงานที่กระท่อนกระแท่นมาตลอดในปีนี้ของ ลิเวอร์พูล แต่หลังจากไล่อัด แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน มันทำให้พลพรรค “หงส์แดง” ขยับแต้มมาตามหลังทีมอันดับ 4 อย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เพียง 3 คะแนน เท่านั้น

ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล รั้งอันดับ 5 ในตารางคะแนน ด้วยการเก็บไป 42 คะแนน จาก 25 เกม ขณะที่ สเปอร์ส มี 45 คะแนน จาก 26 เกม ซึ่งหมายความว่า หาก “หงส์แดง” เก็บชัยชนะในเกมตกค้างได้ก็จะขยับขึ้นอันดับ 4 ทันที หลังจากมีลูกได้เสียดีกว่า “ไก่เดือยทอง” ถึง 9 ประตู

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ยังขยับแต้มมาตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือเพียง 7 คะแนนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์พอสมควร

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top