ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การนำของ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ยังคงรักษาฟอร์มที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่อง หลังจากเปิดรัง แอนฟิลด์ เอาชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไปแบบหวุดหวิด 3-2 ในเกมลีกเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา
ก่อนเกมจะเริ่มหลายคนมองว่า มันเป็นงานที่ง่ายของพลพรรค “หงส์แดง” แต่ในทางกลับกันลูกทีมของ คล็อปป์ ต้องออกแรงหนักทีเดียวในการบดเก็บ 3 คะแนน ต่อหน้าสาวก “เดอะ ค็อป” และนี่คือ 5 ข้อที่นำมาชำแหละหลังเกมกับที่ลุ้นหนักนัดหนึ่งของฤดูกาล
1. ลูกเซ็ตพีซ สร้างทั้งปัญหาและประโยชน์ให้กับ ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่งศึก พรีเมียร์ลีก
ลูกตั้งเตะดูเหมือนจะเป็นประโยชน์สำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างมากในเกมนี้ โดยครึ่งแรก “หงส์แดง” ได้ลุ้นจากจังหวะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดบอลเข้าไปให้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค โหม่ง แต่ เคย์เลอร์ นาวาส ผู้รักษาประตู ฟอเรสต์ เซฟไว้ได้ รวมถึงจังหวะที่ โคดี กัคโป ได้โอกาสยิงจากการเปิดเตะมุม แต่ เนโก วิลเลียมส์ สกัดจากเส้นออกไป ทำให้ครึ่งแรกเสมอกัน 0-0
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ได้ประตขึ้นนำจากการเปิดฟรีคิกของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้กับ ดิโอโก โชต้า ซัดเข้าไป และลูกที่ 2 ก็มาจาก โชต้า คนเดิมจากการเปิดฟรีคิกของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ส่วนลูกทีม 3 มาจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดเข้าไปจากการเปิดของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คนเดิม
แม้จะได้ 3 ประตูจาก ฟรีคิก แต่ ลิเวอร์พูล ก็เสียประตูจากความผิดพลาดในการป้องกันลูกตั้งเตะเช่นกัน ซึ่งทำให้พวกเขาเสียไป 2 ประตู จนเกือบจะไม่ได้ 3 แต้มจากทีมเยือน
2. แนวรุกที่หลากหลายมากขึ้น
หลังจากปรับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขึ้นมาเล่นในบทบาท Inverted Full-back ลิเวอร์พูล มีเกมรุกที่หลากหลายมากกว่าเดิม ซึ่งการเคลื่อนที่ของ ดาวเตะวัย 24 ปี จากแนวรับไปยังแนวรุกนั้น ทำให้เกมของ “หงส์แดง” ไหลลื่นมากขึ้น
การปรับแท็คติคของ คล็อปป์ ในช่วงหลังทำให้ ลิเวอร์พูล จะมีแนวรุก 5 คนไปอยู่ในแดนคู่แข่ง ซึ่งในเกมนี้ โชต้า, กัคโป, ซาลาห์, เคอร์ติส โจนส์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนเรียงหน้ากระดานกันบริเวณกรอบเขตโทษของ ฟอเรสต์
คล็อปป์ แสดงความคิดเห็นเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เกมในช่วงท้ายฤดูกาลนี้มีประโยชน์สำหรับการวางแผนสำหรับฤดูกาลต่อไป ดังนั้น ดูเหมือนว่า การทดลองให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขยับขึ้นมาเล่นในแดนกลางจะเป็นแท็คติคหลักไปจนจบซีซัน
3. ขุมกำลังเชิงลึกที่กลับมาแข็งแกร่ง
ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องเพิ่มขนาดทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมาทั้งฤดูกาล แต่เมื่อมองรายชื่อตัวสำรองในเกมกับ ฟอเรสต์ ที่มี หลุยส์ ดิอาซ, ติอาโก อัลกันทาร่า และ ดาร์วิน นูนเญซ มันก็ค่อนข้างน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่ในแนวรับยังมีนักเตะอย่าง โจเอล มาติป และ โจ โกเมซ ยังคอยสแตนด์บายอยู่เสมอ ส่วนแดนกลาง ฮาร์วีย์ เอลเลียต ก็คือ หนึ่งในนักเตะดาวรุ่งของอังกฤษที่น่าจับตามองที่สุดในลีก และยังแบ็คจอมแอสซิสต์อย่าง คอสตาส ซิมิกาส
ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล อาจมีปัญหานักเตะบาดเจ็บ และอาจไม่สามารถหมุนเวียนผู้เล่นได้มากพอในบางเกม แต่อย่างน้อยตอนนี้ ข้างสนามของพวกเขาก็ยังพอไว้ใจได้บ้าง
4. ความผิดพลาดในเกมรับ
2 ประตูที่เสียให้กับ ฟอเรสต์ นั้น ไม่ได้มาจากโอกาสสร้างสรรค์เกมที่ชัดเจนของทีมเยือน แต่ต้นเหตุมันมาจากความผิดพลาดของกองหลังอย่าง อิบราฮิมา โคนาเต และ ฟาน ไดจค์ ที่ไม่สามารถจัดระเบียบแนวรับได้ดีพอ
ขณะเดียวกัน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โรเบิร์ตสัน ก็มีส่วนสำคัญเช่นกันที่ทำให้ ลิเวอร์พุล เสียประตู หลังจากไม่สามารถป้องกันเกมรุกริมเส้นของ ฟอเรสต์ ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ คล็อปป์ ต้องแก้ไขในช่วงที่เหลือของฤดูกาล
5. ไม่ต้องพูดถึงท็อปโฟร์สำหรับ ลิเวอร์พูล ทีมดัง แห่ง พรีเมียร์ลีก
ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ตามหลังทีมท็อปโฟร์อย่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อยู่ 6 คะแนน แต่เมื่อมองไปตามความเป็นจริงแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่ทีมของ คล็อปป์ จะไล่ทัน เนื่องจากยังแข่งมากกว่า 1 เกม แถมยังมีทีมอย่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, แอสตัน วิลล่า และ ไบรท์ตัน ขวางทางอยู่
อย่างไรก็ตาม การคว้าตั๋ว ยูโรปา ลีก ยังพอมีความเป็นไปได้ เนื่องจาก นิวคาสเซิล และ สเปอร์ส มีคิดวต้องตัดแต้มกันเอง และอีก 8 นัดที่เหลือ ลิเวอร์พูล ได้เล่นในบ้านถึง 4 นัด และเจอเกมใหญ่เพียงนัดเดียวในการพบกับ “ไก่เดือยทอง” ที่ แอนฟิลด์
การไปเล่นในถ้วยใหญ่ยังเป็นความหวังที่เลือนรางของ ลิเวอร์พูล แต่สำหรับถ้วยเล็กนั้น ยังพอมีความเป็นไปได้…