เคอร์ติส โจนส์ มักจะถูกแฟนบอล ลิเวอร์พูล ตั้งคำถามอย่างดุเดือด หลังจากที่เจ้าตัวยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มพิสูจน์ตัวเองในทีมชุดใหญ่ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกมาได้ ในช่วงก่อนหน้านี้
ดาวเตะวัย 22 ปีรายนี้ ถูกพูดถึงเชิงเหน็บแนมหน่อย ๆ ว่าเป็น “ดาวรุ่งตลอดกาล” โดยเฉพาะในซีซันนี้ ที่ทีม หงส์แดง ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ ในขณะที่เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถทำผลงานให้เป็นที่พึ่งพาอะไรได้เลย
แฟนบอล หงส์แดง ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มองว่า โจนส์ ควรเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกขึ้นบัญชีขายออกจากทีมในตลาดซัมเมอร์นี้ เพื่อหาทางระดมทุนเพิ่มงบประมาณในการช้อปปิ้งให้กับกุนซือชาวเยอรมันได้ไปยกระดับทีมในแดนกลางด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ เพื่อกลับมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในฤดูกาลหน้า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถานการณ์กลับพลิกผันไปแบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ โจนส์ สามารถใช้โอกาสที่ได้รับอย่างคุ้มค่า หลังจากที่แดนกลางของทีมประสบปัญหาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะในรายของ สเตฟาน บายจ์เซติช และ ติอาโก้ อัลคันทารา
มิดฟิลด์จากอคาเดมีของ ลิเวอร์พูล รายนี้ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมที่พบกับ เชลซี เมื่อต้นเดือนเมษายน แม้ว่าผลการแข่งขันในเกมนั้นจะจบด้วยการเสมอกันไป 0-0 แต่ก็ถือเป็นการจุดประกายบางอย่างในตัวเขา หลังจากที่ได้รับคำชมจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมหลังจบเกม ซึ่งมันก็ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในอีก 7 นัดต่อมา
กลายเป็นว่าตลอด 7 เกมที่ผ่านมา โจนส์ ได้ยกระดับตัวเองให้กลายเป็นนักเตะคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล ภายใต้ระบบ 3-4-3 ซึ่งเขาเป็นคนที่ทำให้สมดุลในแดนกลางของทีมกลับมาด้วยการครองบอลที่เหนียวแน่นกว่าเดิม และการขึ้นเติมเกมรุกที่สามารถสร้างความอันตรายให้แก่คู่ต่อสู้ และที่น่าชื่นชมไปกว่านั้นคือ เจ้าตัวไม่เคยเสียบอลในแดนหน้าเลย…แม้แต่ครั้งเดียว
และเมื่อนับรวม 8 เกมหลังสุดที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับ ลิเวอร์พูล กองกลางวัย 22 ปีทำสถิติจ่ายบอลทั้งหมด 403 ครั้ง จ่ายบอลเสียไป 35 ครั้ง เสียการครองบอลเพียง 5 ครั้งต่อเกม ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสถิติที่ดีมากเมื่อพิจารณาจากการรับบทบาทใหม่ในแดนกลาง
แม้ว่าแข้งวัย 22 ปีจะมิได้มีเทคนิคที่แพรวพราวหรือการเล่นที่พิเศษอะไร แต่เขาก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับทีมได้โดยเฉพาะการประสานงานทางฝั่งซ้ายกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ดิโอโก้ โชต้า หรือ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการทำประตูให้กับทีมได้อย่างมากมาย
นอกจากนี้ในเรื่องเกมรับ โจนส์ ยังเข้าใจบทบาทของตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกมเพรสซิ่งและพยายามแย่งบอลกลับมาครอบครองให้เร็วที่สุดในทุกครั้งที่เสียการครองบอล ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ ฟาบินโญ ถือเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมในแดนกลางก่อนที่บอลจะเข้าถึงพื้นที่แนวรับ รวมทั้งปิดโอกาสการเล่นเกมรุกของคู่ต่อสู้ได้อยู่บ่อยครั้ง
อย่างที่ทราบว่า จุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้คือแดนกลาง แต่เมื่อปรับมาใช้ระบบใหม่กลายเป็นว่านอกจากจะช่วยแก้ปัญหาที่คาราคาซังมายาวนานอย่างเห็นผลแล้ว ยังงัดเอาศักยภาพของ เคอร์ติส โจนส์ และใครหลายคนออกมาได้อีกด้วย
นอกจากนั้น ในแผนการเล่นปัจจุบัน โจนส์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเติมเกมรุก แต่เมื่อดูจากสถิติการครอบครองบอลจะพบว่า กัปตันหงส์แดงนั้นเสียการครองบอลมากกว่าดาวเตะรุ่นน้องแทบจะทุกเกม
ตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา เฮนโด้ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงมากกว่าถึง 2 เท่า แต่ในช่วง 8 เกมหลังสุดกองกลางวัย 32 ปีกลับแสดงความผิดพลาดออกมามากกว่า ตัวอย่างในเกมที่พบกับ เบรนท์ฟอร์ด ที่เขาถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแต่ก็ทำเสียบอลถึง 5 ครั้งในช่วงเวลาเพียง 18 นาที ตรงข้ามกับ โจนส์ ที่เสียบอลไปเพียง 3 ครั้งตลอด 81 นาที
ด้วยประสบการณ์และปัจจัยอีกหลายอย่าง เฮนเดอร์สัน ก็ยังถือเป็นตัวอย่างในการแสดงถึงความมุ่งมั่นและแพสชั่นในทุกครั้งที่ลงสนาม ซึ่งกองกลางวัย 20 ต้น ๆ รายนี้ สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้จากกัปตันของเขา และดูเหมือนว่าผลงานโดยรวมของเจ้าตัวจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
หากในอีก 3 เกมสุดท้าย แข้งจากอคาเดมีนี้ยังคงสามารถรักษามาตรฐานและโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป มันอาจจะส่งผลให้เขาสามารถจับจองเป็นตัวเลือก 1 ใน 3 คน พื้นที่แดนกลางของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลหน้า ท่ามกลางการย้ายเข้ามาของบรรดาผู้เล่นระดับท็อปในช่วงซัมเมอร์
นอกจากนั้น การที่ เคอร์ติส โจนส์ โชว์ผลงานได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ยิ่งจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ พยายามทำมาตลอดนั้น จะไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่าแต่อย่างใดเลย
แถมยังส่งผลดีต่อนักเตะและทีม ลิเวอร์พูล ในระยะยาวอีกด้วย…