5 ประเด็นหลังเกม ศึกแดงเดือด ลิเวอร์พูล ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในรายการ เอฟเอ คัพ

ศึกแดงเดือด ในรายการ เอฟเอ คัพ 2023/24, ฝั่งเจ้าบ้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุมสถานการณ์ได้ดีกว่า จนพลิกกลับมาเขี่ย ลิเวอร์พูล ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้ในท้ายที่สุด

การได้รับความพ่ายแพ้ในเกมนี้ หมายความว่า ลิเวอร์พูล หมดโอกาสลุ้นแชมป์ไปอีก 1 รายการ และเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทีม หงส์แดง ทำผลงานได้ผิดฟอร์มสุด ๆ และนี่คือ 5 ประเด็นหลังเกมที่ควรพูดถึง ในเกมที่เหล่า “เดอะ ค็อป” ต้องบอบช้ำทางความรู้สึกอยู่ไม่น้อย

1. ศึกแดงเดือด ที่ ลิเวอร์พูล สมควรเป็นผู้แพ้

กานาโช่

เชื่อได้ว่า แฟนบอล ลิเวอร์พูล แทบจะทุกคน ไม่อยากจะเชื่อกับผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น หลังจบเกมที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมองไปในอันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก นั้น หงส์แดง มีแต้มนำห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากถึง 17 คะแนน

ซีซันนี้, ลิเวอร์พูล มีฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวา มากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจน แต่กับรายการบอลถ้วยเกมนี้ ฝั่งเจ้าบ้านต้องทิ้งความคิดในเรื่องอันดับ และผลงานในช่วงที่ผ่านมาไว้ข้างหลังก่อน เพราะมันเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรี ที่ลูกทีมของ เอริก เทน ฮาก ไม่ต้องการพ่ายแพ้ และเป็นแชมป์รายการเดียวที่พวกเขายังได้ลุ้นอยู่อีกด้วย

ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมายที่จะปิดเกม แต่ดันทำพลาดกันเอง และก็โดนทีมเจ้าบ้านลงโทษในช่วงท้ายเกมต่อเวลาพิเศษ 120 นาทีได้ในที่สุด ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นความรู้สึกที่บอบช้ำสุด ๆ ของสาวก เดอะ ค็อป

2. การตอบสนองหลังจบ ศึกแดงเดือด ที่น่าผิดหวัง

เยอร์เก้น คล็อปป์

แน่นอนว่า เมื่อการพ่ายแพ้เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่สำคัญหลังจบเกมคือ คุณจะตอบสนองอย่างไร?, ซึ่ง เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานสตาฟฟ์โค้ชมีเวลา 2 สัปดาห์ ในการทำให้ลูกทีมกลับมาสู่ความแข็งแกร่งอีกครั้ง และเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด สำหรับเกมต่อไป

การพ่ายแพ้ให้กับคู่อริตลอดกาลอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาทีสุดท้าย อาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจได้ไม่น้อยเช่นกัน หากคุณไม่สามารถรับมือกับมันได้ แต่ทางเลือกของ ลิเวอร์พูล คือ เปลี่ยนแปลงความผิดหวังจากเกมนี้ ให้กลายเป็นพลังฮึดเพื่อการคว้าชัยชนะในทุกเกมที่เหลืออยู่ ไปจนถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาล

ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะช่วงเบรกทีมชาติกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทำให้เราต้องรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนกว่าเกมที่ ลิเวอร์พูล จะเปิดบ้านพบกับ ไบรท์ตัน ที่สนามแอนฟิลด์ ในวันที่ 31 มีนาคมนี้ เพื่อดูว่าทีมของ คล็อปป์ จะตอบสนองต่อเกมดังกล่าวอย่างไร

3. ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสถอนแค้น ในวันที่ 7 เมษายน นี้!

ศึกแดงเดือด

เห็นได้ชัดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นกันได้เข้าที่เข้าทาง และมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ, ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งลงเล่นกลางสัปดาห์ในรายการ ยูโรป้า ลีกกับ สปาร์ตา ปราก ด้วยผลงานที่โดดเด่นสุด ๆ แต่กับเกมนี้ พวกเขากลับไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง อีกทั้งยังโชว์ความผิดพลาดส่วนบุคคลให้เห็นในหลายจังหวะมากจนเกินไป

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ลิเวอร์พูล ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า จากการกรำศึกหนักมาตลอดทั้งซีซัน บวกกับปัญหานักเตะตัวหลักที่บาดเจ็บมากมายหลายคน แต่ผลการแข่งขันจากเกมนี้ ก็ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในความปราชัยได้ เนื่องจากพวกเขามีโอกาสที่จะปิกเกมเพื่อเอาชนะเจ้าถิ่นได้หลายครั้ง

เยอร์เก้น คล็อปป์ และบรรดานักเตะ ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง ในการยกพลมาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 7 เมษายน ในรายการพรีเมียร์ลีก และแน่นอนว่าเกมนั้น มันจะเป็นเกมสำคัญที่ส่งผลต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้อย่างมากทีเดียว

4. ต้องพักเบรกทีมชาติ กับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่

ลิเวอร์พูล

ถ้านับจากจังหวะการเข้าทำประตูที่เกิดขึ้นในเกมนี้ ฝั่งของ ลิเวอร์พูล ควรจะปิดเกมเอาชนะเจ้าบ้านได้ภายใน 90 นาทีด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ, โดย คล็อปป์ กล่าวหลังจบเกมว่า “เรามีโอกาสมากมายที่เราต้องปิดเกม แต่การจ่ายบอลสุดท้ายไม่ถูกต้อง และการตัดสินใจของเราก็ไม่ดีนัก”

เกมนี้ นักเตะ ลิเวอร์พูล ล้มเหลวในการเปลี่ยนให้เป็นโอกาสให้เป็นประตูหลายครั้ง ทั้งที่เป็นฝ่ายครองเกมในช่วงครึ่งหลังได้มากกว่า สร้างสรรค์โอกาสจากการเล่นเกมโต้กลับได้เยอะมาก แต่ก็ทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งผลสุดท้าย พวกเขาก็ต้องก้มหน้ายอมรับผลงานของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม, มันคงเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์เท่าไหร่นัก ที่จะวิพากษ์วิจารณ์นักเตะของ ลิเวอร์พูล มากจนเลยเถิดเกินไป เมื่อพิจารณาจากเกมรุกของ หงส์แดง ที่ทำผลงานภาพรวมในซีซันนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม

5. ลิเวอร์พูล จะแข็งแกร่งขึ้นอีก เมื่อผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา

โชต้า - เทรนท์

ข่าวดีที่จะช่วย ลิเวอร์พูล ลืมความพ่ายแพ้นี้ได้อย่างรวดเร็วก็คือ บรรดานักเตะตัวหลักที่เคยบาดเจ็บ เริ่มทยอยกลับคืนสู่ทีมแล้ว โดยในเกมนี้ ไรอัน กราเฟนแบร์ก กองกลางชาวดัตช์ กลับมามีชื่อเป็นตัวสำรอง ในขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ก็เตรียมกลับมาเป็นตัวเลือกของทีมได้แล้ว ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบกับ ไบรท์ตัน 31 มีนาคมนี้

ส่วนนักเตะอย่าง ดิโอโก้ โชต้า, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก็มีแนวโน้มที่เป็นเป็นไปได้ว่า พวกเขาจะกลับมาช่วยทีมได้ ในช่วงเดือนเมษายน และเมื่อถึงเวลานั้น ลิเวอร์พูล จะมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่า คล็อปป์ ก็จะมีทางเลือกในการจัดทีมมากกว่าเดิม

แฟนบอล “เดอะ ค็อป” ต้องช่วยกันภาวนาให้ในช่วงพักเบรกทีมชาติ 18 – 31 มีนาคมนี้ จะไม่มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่มเติมกลับมา เพื่อให้ผู้เล่นหลาย ๆ คนกลับคืนสู่ทีม และจากนั้นก็คือการตั้งตารอคอย ศึกแดงเดือด ในวันที่ 7 เมษายน อีกครั้ง


ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top