ฟูแล่ม vs ลิเวอร์พูล กับ 5 ประเด็น หงส์แดง เก็บ 3 แต้มจากถิ่น เจ้าสัวน้อย

ฟูแล่ม VS ลิเวอร์พูล

ฟูแล่ม vs ลิเวอร์พูล เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 33 ของ ลิเวอร์พูล ประจำฤดูกาลที่ 2023/24 ซึ่งในเกมนี้ ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ แถมยังเป็นการเล่นนอกบ้านอีกด้วย ซึ่งผลการแข่งขันจบที่ ฟูแล่ม 1-3 ลิเวอร์พูล

ซึ่งในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟูแล่ม ในทุกรายการถึง 4 นัด ไม่ใช่เกมที่ง่ายเลยแม้แต่นัดเดียว และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าพูดถึงเป็นอย่างมาก ในเกมที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บ 3 แต้มกลับมาจากถิ่น คราเวน คอทเทจ ได้ หลังจาก หงส์แดง ทำฟอร์มหล่นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งสัปดาห์ในทุกรายการ

1. แผงมิดฟิลด์ในเกม ฟูแล่ม vs ลิเวอร์พูล

ไรอัน กราเฟ่นแบร์ก

ในเกมนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจโรเตชั่น เปลี่ยนแปลงแผงกองกลางค่อนข้างมาก โดยมอบหมายให้ วาตารุ เอนโด, ไรอัน กราเฟนเแบร์ก และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงยืนเป็น 3 ประสานตัวจริงในแดนกลาง ขณะที่ แม็ค อัลลิสเตอร์, เคอร์ติส โจนส์ และ โดมินิค โซบอสซ์ไล มีรายชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง

หลายนัดที่ผ่านมาในช่วงท้ายเกม กองกลาง ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ขาดพลังงาน และประสิทธิภาพในการควบคุมสถานการณ์ ด้วยการลงเล่นแบบติด ๆ กัน มันก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสมสำหรับ คล็อปป์ ในการเปลี่ยนแปลงทีม เพื่อสร้างความแตกต่าง

ผลลัพธ์หลังจบเกมแสดงให้เห็นว่า คล็อปป์ ตัดสินใจได้ถูกต้อง โดยผู้เล่นอย่าง เอนโด ยืนปักหลักหน้าแผงแบ็คโฟร์ได้อย่างแข็งแกร่งเช่นเดิม ขณะที่ เอลเลียตต์ โดดเด่นทั้งเกมรุก และเกมรับ พร้อมกับทำแอสซิสต์ ไป 1 ครั้ง ส่วน ไรอัน กราเฟ่นแบร์ก ยังโชว์เทคนิคการเอาตัวรอดได้ดี แถมยังซัดประตูแบบสุดสวยอีกด้วย

2. การรอคอยประตูแบบโอเพ่นเพลย์ที่ยาวนาน

ดิโอโก้ โชต้า

433 นาที คือ ระยะเวลาที่ ลิเวอร์พูล ต้องรอคอยประตูแบบโอเพ่นเพลย์ โดยประตูล่าสุดที่พวกเขาทำได้คือ ลูกที่ โคดี กัคโป ซัดใส่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในเกมที่ชนะ 3-1 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่เกมนี้ ไรอัน กราเฟนเแบร์ก จะยิงได้ในนาทีที่ 52 ในเกมนี้

ขณะเดียวกัน สิ่งที่แย่ที่สุดนอกเหนือจากฟอร์มการเล่นในภาพรวมทั้งหมดคือ บรรดาแนวรุกที่ฝืดสนิท ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมของ คล็อปป์ ต้องตกรอบฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ และ ยูโรปา ลีก รวมถึงตกจากตำแหน่งจ่าฝูงใน พรีเมียร์ลีก อีกด้วย

ในเกมนี้ นอกจาก ลิเวอร์พูล จะกลับมาทำประตูในเกมโอเพ่นเพลย์ได้อีกครั้ง, ดิโอโก้ โชต้า ก็ยิงประตูที่ 3 ปิดท้าย เป็นการเรียกความมั่นใจ และส่งสัญญานที่ดีออกมาว่า พลังขับเคลื่อน และความเฉียบขาดในเกมรุก กำลังจะกลับมาอีกครั้ง

3. ตัวเลือกในแนวรุกที่กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา

โคดี้ กัคโป

แทบจะเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ที่ คล็อปป์ มีกองหน้าชุดใหญ่ทั้ง 5 คน พร้อมเป็นตัวเลือกทั้งหมด โดยแนวรุกอย่าง กัคโป, โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างอันตราย และมีคุณภาพในสไตล์ที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง ดิอาซ, นูนเญซ และ ซาลาห์ ที่ยืนเป็น 3 ประสานตัวจริง นั้น ประสานงานกันไม่ลงตัวนัก จึงทำให้เกมนี้เป็นโอกาสของ กัคโป และ โชต้า ซึ่งทั้งคู่ก็ตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสยึดตัวจริงไปจนจบซีซัน

ตอนนี้ คำถามกลับมาอยู่ที่ คล็อปป์ แล้วว่า จะเลือกใครเป็น 3 แนวรุกตัวจริงในเกมถัดไป ที่ต้องออกไปทำศึก “เมอร์ซีย์ไซด์ ดารบี้ แมตช์” กับ เอฟเวอร์ตัน ที่สนาม กูดิสัน ปาร์ค ในรายการพรีเมียร์ลีก ช่วงกลางสัปดาห์

4. เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาได้ทันเวลา

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

จริงอยู่ที่เกมนี้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ได้ถูกทดสอบการเล่นเกมรับมากนัก เนื่องจาก ฟูแล่ม ไม่ได้ขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายเป็นหลัก แต่การลงมาของ อดาม่า ตราโอเร่ ในช่วงท้ายเกม ก็ถือ เป็นความท้าทายของรองกัปตันทีม “หงส์แดง” เช่นกัน

นักเตะหมายเลข 66 ผู้นี้ ยังคงแสดงให้เห็นถึงผลงานเกมรุกระดับมาสเตอร์คลาสเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ขาดหายไปหลายเดือน โดย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำหน้าที่เป็นเพลย์เมคเกอร์แนวลึก คอยกระจายบอล และผ่านบอลไปยังพื้นที่ได้เปรียบเสมอ แถมยังซัดฟรีคิกสุดสวยให้ทีมขึ้นนำ

 5 เกมสุดท้ายของซีซัน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะเป็นอาวุธสำคัญ ที่ทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล กลับมาอันตรายอีกครั้ง และการเปิดบอลของเขา ก็ยังคงคุกคามแนวรับฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ

5. การลุ้นแชมป์ยังพอเป็นไปได้ หลังจบเกม ฟูแล่ม vs ลิเวอร์พูล

ฟูแล่ม vs ลิเวอร์พูล

หลังจากชัยชนะครั้งนี้ ลิเวอร์พูล กลับขึ้นไปทำคะแนนเท่ากับจ่าฝูงอย่าง อาร์เซนอล โดยเหลือการแข่งขันเพียงไม่กี่นัด และแน่นอนว่า แฟนบอล “เดอะ ค็อป” ควรมีความสุข เต็มไปด้วยความคาดหวัง มองโลกในแง่ดี และมั่นใจในโอกาสของทีม

ขณะเดียวกัน ในช่วงกลางสัปดาห์ ลิเวอร์พูล ก็ต้องลุ้นให้ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำแต้มหล่นบ้าง โดยที่ทีมของตัวเอง ก็ต้องเก็บชัยชนะให้ได้ ซึ่งทีมของ คล็อปป์ ต้องไม่ผิดพลาดอีกแล้ว หากยังจะหวังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล


ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top