ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สถิติของทั้ง 2 ทีมนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว รวมทั้งฟอร์มการเล่นที่ภาษาบ้าน ๆ ใช้คำว่า “คนละเบอร์” ก็ยังได้
นับเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก 2 เกมหลังสุด หงส์แดง เก็บได้แค่คะแนนเดียวจากการเสมอกับ ไบรท์ตัน ที่ แอนฟิลด์ ไป 3-3 แบบน่าโดนด่าทั้งทีมและบุกไปพ่ายให้กับ “จ่าฝูง” อย่าง อาร์เซนอล ไป 3-2 โดยยิงไป 6 เสีย 5 กลับกัน ซิตี้ 2 นัดหลังสุดยิงไป 10 ประตูและเสีย 3 ลูก โดย เออร์ลิง ฮาแลนด์ ยิงคนเดียว 4 ประตูหรือเกือบครึ่งของทั้งหมด
ดูแล้วไม่น่ามีช่องทางใดที่ ลิเวอร์พูล จะเอาชนะทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้เลย
แถมด้วยสถานการณ์ของ หงส์แดง ก็ยิ่งไปกันใหญ่เมื่อพวกเขาไม่มี อิบราฮิมา โคนาเต้ ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมที่บุกชนะ กลาสโกว เรนเจอร์ส 7-1 ไหนจะขาด เทรนท์ อาร์โนลด์ แบ็คขวาตัวจริง และคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดในแนวรุกอย่าง หลุยส์ ดิอาซ ก็จะกลับมาเจอกันอีกทีหลังฟุตบอลโลก
ใครเป็น เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็น่าจะปวดหัวไม่น้อย
ดังนั้นการจัด 11 ตัวจริงของนายใหญ่ชาวเยอรมัน จึงต้องคิดคำนวณมาให้ดีที่สุดเพราะทีมที่กำลังจะลงเล่นด้วยไม่ใช่ธรรมดา แค่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ คนเดียวก็สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับเจ้าบ้านได้แล้ว
คล็อปป์ เลือกกลับมาใช้แผน 4-3-3 ตามแบบที่ตัวเองถนัด โดยมีการปรับเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่งไล่ไปตั้งแต่แนวรับที่ใช้ โจ โกเมซ และ เจมส์ มิลเนอร์ ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟและแบ็คขวา ในขณะที่แดนกลางกลับมาใช้ 3 คนประกอบด้วย ติอาโก้ อัลคันทารา, ฟาบินโญ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต พัก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงเล่นติด ๆ กันมาหลายนัดไว้ข้างสนาม
ส่วนแดนหน้าใช้บริการ 3 ประสานอย่าง ดิโอโก้ โชต้า ทางฝั่งซ้าย และ โรแบร์โต้ ฟีรมีโน เล่นตรงกลาง ด้านขวาเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่วนดาวเตะ 100 ล้านอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ให้เป็นตัวทีเด็ด
พอดูการจัดตัวแบบนี้สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของ เดอะค็อป หลาย ๆ คนคือคำถามที่ว่า “จะสู้เค้าได้หรือเปล่า?” เพราะดูจากฟอร์มการเล่นในช่วงหลังและศักยภาพของตัวผู้เล่นแล้วดูท่าว่าทีมเยือนจะนำห่างอยู่หลายขุม
หากแต่เมื่อลงสนามไปดูเหมือนว่าแข้ง หงส์แดง ทั้ง 11 คนได้รับการกระตุ้นมาอย่างดี ทุกคนตั้งใจและมีสมาธิกับเกมตรงหน้า พวกเขาพยายามแก้ปัญหาแรกของตัวเอง นั่นคือ การเสียประตูก่อน เห็นได้จากการไล่บีบแดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ให้ออกบอลได้ง่าย ๆ รวมทั้งการลงมาช่วยกันตั้งรับลูกสวนกลับ ซึ่งทุกคนทำได้ดีและทำให้ 45 นาทีแรกก็ไม่เสียประตูตามเป้า
ใน 45 นาทีหลัง รูปเกมก็ยังคงเป็นแบบนั้น ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา น่ากลัวทุกครั้งที่พาบอลขึ้นมาข้างหน้า แต่ คล็อปป์ ก็สั่งเด็ก ๆ ช่วยกันเบรกเกมเอาไว้ก่อนจะเข้าสู่กรอบเขตโทษ เราจึงไม่ค่อยได้เห็นจังหวะที่บอลมาป้วนเปี้ยนในกรอบเขตโทษบ่อยเท่าไหร่ มิดฟิลด์เจ้าบ้านพยายามเข้าบีบให้แดนกลางคู่แข่งต้องใช้การโยนบอลเข้ามาและเป็น โกเมซ กับ ฟาน ไดค์ ที่คอยช่วยกันดักเก็บไม่ให้ ฮาแลนด์ เล่นได้สะดวก
นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เกมยังคงอยู่ในมือของ ลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขาไม่เสียประตูก็มีโอกาสที่จะขึ้นนำได้ และทุกอย่างก็มาบังเกิดผลในนาทีที่ 76
เควิน เดอ บรอยน์ ที่เกมนี้เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานเปิดบอลจากฟรีคิกที่น่าจะหวังผลได้มากกว่านี้ไปเข้ามือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ จากนั้นนายทวารบราซิลเลียนเหลือบไปเห็น ซาลาห์ กำลังเตรียมออกวิ่ง เขาจึงตัดสินใจรีบเปิดบอลไปที่แข้งอียิปต์ซึ่งควบขึ้นหน้าไปดวลกับ เจา คันเซโล ที่ถูกทิ้งเป็นตัวสุดท้ายก่อนที่จะบังแล้วพลิกบอลเข้าไปยิงผ่าน เอแดร์ซอน ชนิดที่ คล็อปป์ ให้นิยามหลังจบเกมว่า “นี่มันลูกยิงเวิลด์คลาสชัด ๆ”
จากนั้น ลิเวอร์พูล มีโอกาสจะได้ประตูเพิ่มจากการทำเกมของ ดาร์วิน นูนเญซ แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจพลาด ดีที่สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้และเอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0
ต้องบอกเลยว่าเกมนี้ คือเกมที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา ทุกคนเล่นเข้าฟอร์มและมีการวางแท็คติกที่เฉียบคม สามารถหยุดแนวรุกสุดอันตรายของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา รวมทั้งยังใช้เกมสวนกลับที่เป็นจุดเด่นทำลายคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย
สิ่งที่น่าชื่นชมนอกจาก 3 คะแนนและฟอร์มการเล่นของนักเตะเจ้าบ้านก็คือ สภาพจิตใจในการเผชิญหน้ากับคู่แข่ง ซึ่งหลายเกมที่ผ่านมาแข้ง หงส์แดง เล่นเหมือนคนเหม่อลอย ไม่มีทิศทาง ไม่มีความเชื่อมั่น ซึ่งเมื่อมาพร้อมกับแท็คติกเดิม ๆ ที่โดนจับทางได้ ทำให้ผลการแข่งขันออกมาย่ำแย่ และโดนขึ้นนำก่อนแทบจะทุกเกม
นอกจากนั้นการกลับมาใช้ 4-3-3 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคืนสู่สามัญที่ได้ผลเท่านั้น แต่ยังถือเป็นทีเด็ดที่ทำให้คู่แข่งสับสน เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาลองเปลี่ยนไปใช้ 4-2-3-1 หรือ 4-4-2 มาหลายเกมจนคู่ต่อสู้คิดกันไปว่าอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นไปแล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาเล่นแบบเดิม ทำให้จับทางไม่ถูกเหมือนกัน
ผลลัพธ์ที่ ลิเวอร์พูล ได้กลับมาจากเกมที่เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้นั้นสามารถสร้างผลกระทบต่อทีมหลายด้าน มันเหมือนการปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาจากความหลับใหลและทำให้ คล็อปป์ รู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเล่นแบบเดิมก็สามารถเอาชนะคู่แข่งได้
และน่าจะถึงเวลาเสียทีที่ “เครื่องจักรสีแดง” จะกลับมาทำงานเต็มสูบได้อีกครั้ง…