เบรนท์ฟอร์ด vs ลิเวอร์พูล เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 25 ของฤดูกาลที่ 2023-24, แน่นอนว่า ไม่ใช่เกมที่ง่ายนัก เพราะ ลิเวอร์พูล ไม่เคยบุกไปเอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ในถิ่นได้เลย นับตั้งแต่ที่ เบรนท์ฟอร์ด กลับขึ้นมาโลดแล่นในรายการ พรีเมียร์ลีก ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งในเกมนี้ นักเตะ ลิเวอร์พูล สามารถทำผลงานกันได้ดี จนน่าประทับใจกันแทบทุกคน และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ทั้งในเกมรับ และเกมรุก ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งนัดที่พลพรรค “หงส์แดง” เก็บ 3 คะแนนไปได้แบบไม่ยากเย็นนัก และนี่คือ 5 ประเด็นที่ควรถูกพูดถึงอย่างมากในเกมนี้
1. ชัยชนะจากเกม เบรนท์ฟอร์ด vs ลิเวอร์พูล และความเสียหายที่เกิดขึ้น
ผลพวงของชัยชนะครั้งนี้ เราควรพูดถึงการที่ ลิเวอร์พูล เพิ่มความหวังในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น และเป็นการบุกมาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ถึงถิ่นเป็นครั้งแรกในยุค คล็อปป์ แต่มีประเด็นที่น่ากังวลใจอย่างมาก นั่นก็คือ อาการบาดเจ็บของผู้เล่น
เคอร์ติส โจนส์ ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ดีกับบทบาทมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า ขณะที่ ดิโอโก้ โชต้า ที่เป็นคีย์แมนในเกมรุกตลอดหลายนัดที่ผ่านมานั้น กลับเจอกับความโชคร้าย จากจังหวะโดนผู้เล่น เบรนท์ฟอร์ด ล้มทับ ซึ่งทำให้ได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า และถึงขั้นที่ต้องใช้เปลหาม นำตัวเขาออกจากสนามเลยทีเดียว
แน่นอนว่า มันเป็นผลลัพธ์ที่ดีในการมาคว้า 3 แต้มในถิ่นของคู่แข่ง บวกกับทีมตามอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำได้แค่เปิดบ้านเสมอกับ เชลซี ซึ่งทำให้เรายังนำเป็นจ่าฝูงแบบเดี่ยว ๆ ต่อไป แต่อาการบาดเจ็บของ โจนส์ และ โชต้า ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ๆ เช่นกัน
2. ซาลาห์ คัมแบ็คในเกม เบรนท์ฟอร์ด vs ลิเวอร์พูล
ในซีซันนี้ ลิเวอร์พูล มักจะโชคร้ายจากปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาก็ยังมีนักเตะที่เข้ามาทดแทนได้เป็นอย่างดี โดยยกตัวอย่างในเกมนี้ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ไม่ได้ลงเล่นให้ทีม หงส์แดง มาตั้งแต่วันปีใหม่ แต่ก็กลับมาลงสนามแทน โชต้า ที่ได้รับบาดเจ็บได้พอดี
ซูเปอร์สตาร์ชาวอิยิปต์ ยังคงแสดงให้เห็นความสำคัญ ถึงการกลับมาของตัวเองโดยการทำไป 1 ประตู และทำไป 1 แอสซิสต์ พร้อมกับปั่นป่วนแนวรับ เบรนท์ฟอร์ด ได้ตลอดทั้งเกม และหลังจากนี้ ซาลาห์ คงจะประจำการทางริมเส้นฝั่งขวา เป็นตัวหลักเช่นเดิม
เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเข้าสู่ช่วงท้ายของฤดูกาลโดยมี ซาลาห์, หลุย ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี กัคโป เป็น 4 ตัวหลักในแนวรุก ขณะที่ โชต้า ยังไม่ชัดเจนว่า ต้องใช้เวลานานเท่าใด ในการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ
3. วาตารุ เอ็นโด & อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ส่วนผสมที่ลงตัวในแดนกลาง
ในช่วงต้นเกมกับ เบิร์นลีย์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, แผงมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ที่มี เอ็นโด และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนเล่นร่วมกันนั้น ยังดูไม่สมดุล และยังเล่นไม่เข้ากันมากนัก จนกระทั่งครึ่งหลัง คล็อปป์ ปรับเปลี่ยนบทบาทของทั้งคู่ จึงทำให้เกมออกมาไหลลื่นมากกว่าเดิม
เกมนี้ คล็อปป์ ยังไว้ใจให้ เอ็นโด และ แม็ค อัลลิสเตอร์ เล่นร่วมกัน โดยกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น ยืนปักหลักหน้าแผงแบ็คโฟร์ ส่วนดาวเตะอาร์เจนไตน์ ขยับขึ้นไปสร้างสรรค์เกมรุก และผลที่ได้คือ ลิเวอร์พูล มีความแข็งแกร่งทั้งเกมรับ และเกมรุก
ในเกมนี้, เอ็นโด เอาชนะการดวลคู่แข่งได้ 5 ครั้ง และผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายได้ถึง 14 ครั้ง ในขณะที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ เอาชนะการดวล 6 ครั้ง สร้างสรรค์โอกาส 2 ครั้ง และซัดไป 1 ประตู และดูเหมือนว่า การประสานงานของทั้งคู่ จะดีขึ้นได้มากกว่านี้อีก
4. ไรอัน กราเฟนแบร์ช ควรได้รับคำชื่นชม
ในฐานะนักเตะอายุน้อย ที่ยังคงต้องปรับตัวเข้ากับการเล่นในรายการ พรีเมียร์ลีก เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า จะได้อะไรจาก ไรอัน กราเฟนแบร์ช ในทุกครั้งที่เขาลงสนาม, แต่ในเกมนี้ หลังจากที่เขาถูกส่งลงสนามมาแทน เคอร์ติส โจนส์ ดาวเตะชาวดัตช์ ก็แสดงให้เห็นถึงฟอร์มการเล่นที่น่าชื่นชม
กราเฟนแบร์ช ชนะการดวลภาคพื้นดิน 5 ครั้ง จากทั้งหมด 8 ครั้ง เคลียร์บอล 3 ครั้ง แย่งบอลคืนได้ 3 ครั้ง และผ่านบอลแม่นยำถึง 82 เปอร์เซ็นต์ ในเกม เบรนท์ฟอร์ด vs ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่ เคอร์ติส โจนส์ เคยทำได้ตลอดหลายเกมที่ผ่านมา ในบทบาทกองกลางฝั่งซ้าย
หาก กราเฟนแบร์ช ยังคงแสดงผลงานแบบนี้ต่อไป ในระหว่างที่ เคอร์ติส โจนส์ ไม่อยู่, ทีม ลิเวอร์พูล ก็มั่นใจได้ว่า จะมีนักเตะที่ไว้วางใจได้เข้ามาทดแทน อย่างไม่มีปัญหา
5. ประเด็นข่าวเรื่อง โธมัส แฟรงค์ กับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ของ ลิเวอร์พูล
ในขณะที่ทุกคน กำลังจับจ้องไปที่ ชาบี อลอนโซ่ อดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล ซึ่งปัจจุบันเป็นโค้ชของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, แต่ชื่อของ โธมัส แฟรงค์ เอง ก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ถูกมองว่า จะเข้ามาสานงานต่อจาก คล็อปป์ ในถิ่น แอนฟิลด์ หลังจบฤดูกาลนี้
แต่ด้วยผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นในเกม เบรนท์ฟอร์ด vs ลิเวอร์พูล, น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีของ แฟรงค์ เท่าไร และดูเหมือนว่า ปรัชญาการคุมทีมของเจ้าตัว ที่เน้นการเข้าทำจากลูกตั้งเตะ และการทุ่มไกล คงไม่เหมาะกับ ลิเวอร์พูล อย่างยิ่ง รวมถึงประสบการณ์การคุมทีมในลีกสูงสุดของเจ้าตัว ก็ยังไม่ได้มากมายอะไรนัก
ลิเวอร์พูล ยังคงต้องการโค้ชคนใหม่ ที่มีสไตล์ที่เหมาะสม และมีแนวโน้มที่จะพาทีมประสบความสำเร็จได้ ซึ่งในตอนนี้ ชื่อของ โธมีส แฟรงค์ อาจจะยังไม่ตรงโจทย์ที่วางไว้