‘หงส์แดง’ วันนี้ดูสีสันสดใส สวมชุดแข่งที่ 3 ของฤดูกาลนี้ลงสนามเป็นเกมแรก และครบ 100 เกมในพรีเมียร์ลีกของ โจเอล มาติป อีกด้วย
เกมเริ่มมาถึงนาทีที่ 7, เคอร์ติส โจนส์ จ่ายทะลุช่องมาให้ ซาลาห์ วิ่งลากบอลมาดวลตัวต่อตัวกับ ราญ่า นายทวารฝั่งเจ้าบ้าน, โม ทิ่มบอลลอดหว่างขา ราญ่า จนบอลไหลเกือบจะเข้าประตูแล้ว แต่เจ้าบ้านก็ได้ คริสตอฟฟ์ อายเยอร์ พุ่งสไลด์เข้ามาเคลียร์บอลไว้ได้อย่างน่าเสียดาย
เบรนท์ฟอร์ด เป็นอีกหนึ่งทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับอันเหนียวแน่น ไม่ปล่อยให้คู่แข่งได้มีโอกาสยิงเท่าไหร่ แต่จังหวะสวนก็น่ากลัวเช่นกัน มีช็อตที่ ไบรอัน เอ็มบูโม่ ชิพบอลพ้นตัว อลิสซง เบ็คเกอร์ ไปแล้ว แต่ยังไม่เสียประตูเพราะบอลไหลต่อไม่แรง บวกกับได้ มาติป มาเคลียร์บอลไว้ได้
เจ้าบ้านกลายเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน จากจังหวะเซ็ตพีซ โดยมี อิธาน พินน็อค ขึ้นมาเติมจนทำประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 27, ไม่นานนัก ลิเวอร์พูลก็ได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เปิดบอลอย่างแม่นจากฝั่งขวาให้ ดิโอโก้ โชต้าโหม่งเข้าเสาไกลไปในนาทีที่ 31
นาทีที่ 38, โจนส์ได้โอกาสส่องไกลนอกกรอบ บอลพุ่งไปชนเสาแรกและกระเด็นย้อนออกมาเข้าทางเท้าให้ โชต้า ซ้ำอีกครั้ง แต่บอลก็ดันไปติดบล็อกของ ราญ่า , การแข่งขันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงทดเวลา 3 นาที แต่ก็ยังไม่มีประตูเกิดขึ้นจนจบครึ่งแรก
ครึ่งหลังในนาทีที่ 53, ฟาบินโญ่ วางบอลไกลเข้าพื้นที่อันตรายของเจ้าบ้าน และมี ซาลาห์ ที่วิ่งเข้ามาแปด้วยเท้าซ้ายไปเสาไกลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม, จังหวะนี้ VAR เช็คล้ำหน้า แต่สุดท้ายก็ตัดสินให้เป็นประตูของทีมเยือน, ประตูนี้กลายเป็นสถิติครบ 100 ประตูของราชาแดนไอยคุปต์ในสีเสื้อของสโมสรลิเวอร์พูล และเป็นสถิติยิงครบ 100 ประตูได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรจากการลงสนาม 151 เกมของ โม ซาลาห์
นาทีที่ 63 เจ้าบ้านกลับมาตีเสมอได้จากจังหวะที่ลิเวอร์พูลเคลียร์บอลในกรอบเขตโทษไม่ขาด และเป็น วิตาลี จาเนลท์ ของเจ้าบ้านที่โหม่งเข้าไป, อีก 4 นาทีต่อมา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จ่ายบอลให้ โจนส์ ตัดเข้าใน 1 จังหวะแล้วซัดไกลทันที บอลพุ่งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม, ทีมเรากลับมาขึ้นนำอีกครั้ง หลังจากนั้น โจนส์ ก็เดินออกจากสนามแบบหล่อ ๆ ทันที, เพราะ เยอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนเอา โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ลงมาแทน
นาทีที่ 76, เหล่า เดอะ ค็อป เกือบได้เฮแล้ว เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลให้ ซาลาห์ วิ่งเข้าไปดวลกับ ราญ่า อีกครั้ง แต่ ซาลาห์ กลับโชว์เหนือ ชิพบอลข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย, ไม่กี่จังหวะต่อมา ซาลาห์ เป็นฝ่ายชงให้ มาเน่ ยิงบ้าง แต่บอลก็ข้ามคานไปเหมือนกัน
เจ้าบ้านกลับมาตีเสมอได้อีกครั้งจากจังหวะที่ลิเวอร์พูลเคลียร์บอลไม่ขาดอีกแล้ว โดย โยอัน วิสซ่า วิ่งเข้ามาตักบอลข้ามตัว อลิสซง เข้าประตูไปในนาทีที่ 82 กลายเป็นสกอร์ 3-3 และเจ้าบ้านเกือบจะได้กลับมาเป็นฝ่ายขึ้นนำเมื่อ อิวาน โทนีย์ กองหน้าตัวความหวังยิงเข้าไปแล้ว แต่กรรมการตัดสินให้ล้ำหน้า
เกมเข้าสู่ช่วงทดเวลา 5 นาที แต่ก็ไม่มีประตูเกิดขึ้น, จบเกมส์ ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงแค่บุกมาแบ่งแต้มกับ เบรนท์ฟอร์ด เท่านั้น แม้จะเป็นฝ่ายที่ขึ้นนำได้ถึง 2 ครั้ง
ผลการแข่งขันเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูลขึ้นเป็นจ่าฝูงเดี่ยว มีแต้มนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน เพียง 1 แต้มเท่านั้น