ควันหลงของเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโมเม้นท์ในช่วงของการดวลจุดโทษหาแชมป์ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มีอะไรให้พูดถึงอย่างมากมาย
อย่างที่ทราบกันว่ารูปเกมตลอด 120 นาทีนั้นถือเป็นเกมที่มีครบทุกรสชาติทั้งความเข้มข้น ความตื่นเต้น การลุ้นระทึก จังหวะหวาดเสียวหัวใจวาย ติดอย่างเดียวคือการจบที่ 0-0 เท่านั้นเอง
เมื่อเป็นเช่นนั้น, วิธีการเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยทำให้ได้ผู้ชนะนั้นก็คือ การตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้ต้องอาศัยทั้งความชำนาญและดวงในสัดส่วนที่พอ ๆ กัน
หากแต่ในฟุตบอลยุคใหม่นอกจากเรื่องเหล่านั้นแล้ว จิตวิทยาและการเตรียมตัวที่ดี ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับนักเตะ รวมทั้งยังสามารถใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี และเป็นตัวตัดสินชัยชนะได้อีกด้วย
ก่อนที่จะถึงช่วงชี้ชะตา ฝั่งของ โธมัส ทูเคิล เริ่มขยับตามแผนที่เตรียมมา โดยเปลี่ยนเอา เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ลงสนามแทนที่ เอดูอาร์ด เมนดี้ ที่โชว์ซูเปอร์เซฟตลอดทั้งเกมเพื่อลงไปจัดการลูกจุดโทษ และอีกนัยหนึ่งคือเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ไปในตัว
เป็นที่ทราบกันดีว่า นายด่านสแปนิชคือผู้รักษาประตูที่เซฟจุดโทษมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เชลซี โดยทำเอาไว้ที่ 7 ครั้งนับตั้งแต่ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2018 มากกว่า ปีเตอร์ เช็ค ที่ทำได้ 6 ครั้ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทูเคิล ทำแบบนี้ เพราะในเกม ยูฟา ซูเปอร์คัพ เมื่อช่วงต้นฤดูกาลนายใหญ่ชาวเยอรมันก็เปลี่ยน เมนดี้ ออกในนาทีที่ 119 แล้วส่ง เกปา ลงไปเซฟจุดโทษช่วยทีมคว้าแชมป์มาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในเกม คาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ
ในขณะที่ทางฝั่งของลิเวอร์พูล, เยอร์เก้น คล็อปป์ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะส่ง ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาตั้งแต่ตอนที่เอาชนะ อาร์เซนอล ในรอบเซมิไฟนอลเลกที่ 2 ซึ่งรายการนี้นายด่านไอริชได้ลงเล่นตั้งแต่นัดแรก ประสบการณ์ในการเซฟจุดโทษก็พอมี โดยเจ้าตัวเคยเป็นฮีโร่ช่วยทีมผ่าน เลสเตอร์ ซิตี้ ในรอบควอเตอร์ไฟนอลมาแล้ว
เมื่อเข้าสู่ช่วงการดวลจุดโทษ ลิเวอร์พูล ชนะการสี่ยงเหรียญ มิลเนอร์ เลือกยิงในแดนที่มี เดอะค็อป อยู่หลังประตู สังเกตจังหวะที่พอเขาชี้มาที่ฝั่งนี้ กองเชียร์ก็เฮลั่น แถมยังได้ยิงก่อนอีกด้วย
ในกลยุทธ์การดวลเป้าแบบนี้ คนยิงก่อนถือว่าได้เปรียบ เพราะคือฝ่ายที่ยิงขึ้นนำ ในขณะที่อีกทีมต้องยิงเพื่อตีเสมอ ความกดดันจึงมากกว่าเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม, เกปา ที่ช่ำชองการเซฟจุดโทษก็งัดเอาสารพัดจิตวิทยาออกมาใช้เพื่อปั่นประสาทนักเตะ ลิเวอร์พูล ไล่ไปตั้งแต่การเดินช้า ๆ ไปยืนบนเส้นประตู ตะโกนส่งเสียงรบกวนสมาธิ ยืนเปิดมุมกดดันคู่แข่ง หรือ ชี้มุมให้ยิงเพื่อให้ไขว้เขว คือถ้าจิตไม่แข็งพอก็อาจพลาดท่ายิงออกหรือโดนเซฟได้…แต่ไม่ใช่กับนักเตะ ลิเวอร์พูล
11 คนที่ยิงจุดโทษนั้นไม่มีใครพลาดแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งคนที่น่าพลาดอย่างเจ้าหนู ฮาร์วีย์ เอลเลียต, อิบราฮิมา โคนาเต้ หรือแม้กระทั่ง เคลเลเฮอร์ ที่ยังไม่เคยลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศมาก่อน แถมพวกนี้ยังยิงด้วยความเชื่อมั่นอีกด้วย
ไม่ต้องไปนับพวกรุ่นพี่อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, ฟาบินโญ, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ หรือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ยิงกันด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมและเด็ดขาด
สาเหตุที่แต่ละคนยิงกันได้ดี เนื่องมาจากก่อนเกม เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ให้ลูกทีมซ้อมการยิงจุดโทษกับสถาบันประสาทวิทยาเยอรมัน (The German neuroscience team Neuroll) โดยสถาบันดังกล่าวถูกดึงเข้ามาช่วยปรับปรุงและพัฒนาการเล่นลูกตั้งเตะของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ และผลที่ออกมาก็ยอดเยี่ยม รวมทั้งสถิติการยิงจุดโทษในเกมนัดล่าสุดด้วย
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า พวกเขาไม่กลัว เกปา และไม่ได้กลัว เชลซี เพราะถ้าจำกันได้ 2 ทีมนี้เคยดวลจุดโทษกันมาแล้วในถ้วย ยูฟา ซูเปอร์คัพ เมื่อปี 2020 และชัยชนะตกเป็นของ ลิเวอร์พูล
ดังนั้นต่อให้สถิติการเซฟลูกโทษของ เกปา จะดีขนาดไหน แต่แข้ง หงส์แดง ก็ไม่ได้หวาดหวั่น เพราะเมื่อพูดถึงสถิติโดยรวมแล้วถือว่าพวกเขาเหนือกว่า
กลายเป็นว่าแท็คติกที่ ทูเคิล ใช้ในการดวลเป้าไม่ได้ผล และย้อนกลับมาเล่นงาน เชลซี เพราะนายด่านกระทิงดุไม่สามารถเซฟได้เลยแม้แต่ลูกเดียว แถมยังโดนแรงกดดันในการดวลซัดเดนเดธกับ เคลเลเฮอร์ อย่างหนักจนยิงข้ามคานอย่างเหลือเชื่อ
หลังจบเกมกุนซือ เชลซี โดนแฟนบอลวิจารณ์เรื่องเปลี่ยน เมนดี้ ออกแล้วส่ง เกปา ลงไปเซฟจุดโทษ เพราะตลอดทั้งเกมนายด่านเซเนกัลโชว์ซูเปอร์เซฟช่วยทีมมาตลอดรอดฝั่ง แต่ ทูเคิล ก็ไม่ได้สนใจเพราะนี่คือแผนของเขาและการเตรียมตัวเพื่อชัยชนะ เพียงแต่ว่าวันนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้
สำหรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นการส่ง เคลเลเฮอร์ ลงสนามก็ถือว่าเป็นการเสี่ยงพอสมควร เพราะหากพลาดแชมป์ขึ้นมาอาจส่งผลต่อความมั่นใจของนายด่านดาวรุ่งรายนี้ และอาจสะเทือนต่อการลุ้นแชมป์อื่น ๆ แต่ด้วยความที่เขาเชื่อในการทำงานหนัก เชื่อในสายตาที่เห็น และเชื่อในนักเตะของตัวเอง ผลที่ออกมาจึงคุ้มค่ามหาศาล
ทูเคิล อาจมาพร้อมแท็คติกเพื่อชัยชนะ, แต่สำหรับ คล็อปป์ แล้ว นี่คือจิตวิทยาที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่