ข่าวการใกล้คว้าตัว โคดี้ กัคโป ของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นข่าวใหญ่ที่กลบผลงานอันยอดเยี่ยมในการบุกไปเอาชนะ แอสตัน วิลลา 3-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก วันบ็อกซิ่งเดย์เสียเงียบกริบ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าดีลนี้จะเกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะกับ เดอะค็อป
ที่บอกว่าไม่มีใครคาดคิด ไม่ใช่เพราะว่า กัคโป เป็นนักเตะที่มีค่าตัวมหาศาลหรือเป็นแข้งที่สุดจะเอื้อมถึง แต่เป็นเพราะว่าดาวเตะวัย 23 ปีคือเป้าหมายอันดับหนึ่งของทีมคู่ปรับอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีข่าวกันมาตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้วด้วย
ตามไทม์ไลน์การรายงานข่าวของ ฟาบริซิโอ โรมาโน คนข่าวระดับเทียร์ 1 ทำให้เราเห็นว่า เหลืออีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นสตาร์ของ พีเอสวี ก็จะกลายร่างไปเป็นสมาชิกใหม่ของทีม ปีศาจแดง ก่อนที่เกมจะพลิกกลายเป็น หงส์แดง ที่โฉบคว้าตัวมาร่วมทีมได้แบบทำเอาแฟนบอลตะลึงกันทั้งโซเชียล
ย้อนกลับไปรุ่งเช้าของเมื่อวานนี้ (วันที่ 26 ธ.ค.) ตามเวลาในอังกฤษ นักข่าวเชื้อสายอิตาเลียนรายงานบนโซเชียลมิเดียทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุคส่วนตัวว่า “โคดี้ กัคโป ไม่มีทางเปลี่ยนใจในการย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขากระตือรือล้นเป็นอย่างมากในการย้ายทีมเมื่อซัมเมอร์ที่แล้วและก็ยังเป็นเช่นนั้น การพูดคุยกับเอเยนต์ส่วนตัวเป็นไปในทิศทางที่ดี ตอนนี้ขึ้นอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเป็นการภายในกับการลงทุนด้วยเงินจำนวน 55-60 ล้านยูโร (48-52 ล้านปอนด์)”
จากนั้นอีก 11 ชั่วโมงต่อมาสถานการณ์พลิกผัน โรมาโน แจ้งข่าวด่วนที่ได้มาจาก พอล จอยซ์ ว่า ลิเวอร์พูล รุกหนักในการเซ็นสัญญากับ กัคโป โดยยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเป็นเงินค่าตัว 37 ล้านปอนด์พร้อม add-on ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านปอนด์ ในขณะที่ ปีศาจแดง นั้นยังไม่มีข้อสรุปออกมาและยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้กับ พีเอสวี
ในเวลาใกล้เคียงกัน เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนเกมออกไปเยือน แอสตัน วิลลา แบบเป็นนัยว่า การเซ็นสัญญากับ หลุยส์ ดิอาซ เมื่อเดือนมกราคมส่งผลดีต่อผลงานในครึ่งฤดูกาลหลังของทีม ดังนั้นหากเขาสามารถทำแบบนั้นได้อีกครั้ง ทำไมจึงจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้
ไม่นาน โรมาโน ก็ประกาศผ่านสื่อโซเชียลของตัวเองว่า โคดี้ กัคโป เตรียมย้ายไป ลิเวอร์พูล แล้วหลังจากที่ทั้ง 2 สโมสรสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้โดยนักเตะจะเดินทางมาที่อังกฤษเพื่อตรวจร่างกายและเซ็นสัญญาในวันถัดไป
ข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากบทสัมภาษณ์ของ มาร์เซล บรันด์ ผู้อำนวยการของ พีเอสวี ซึ่งเคยทำงานเป็น ผอ.ที่ เอฟเวอร์ตัน มาก่อน โดยเขาได้เปิดเผยกับสื่อว่า จะยังไม่มีการประกาศเรื่องการย้ายตัวของ กัคโป จากทั้ง 2 สโมสร แต่ค่าตัวในครั้งนี้ถือเป็นสถิติสูงสุดของ พีเอสวี
ในขณะที่ทาง เอริค เทน ฮาก ก็ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องการเสริมทัพของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการตอบคำถามว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ยืนซื้อดาวดังวัย 23 ปีทั้ง ๆ ที่สามารถตกลงราคากับต้นสังกัดของนักเตะได้ โดยได้ระบุว่า
“เราเสียกองหน้าไปและเราก็ต้องการกองหน้าคนใหม่เข้ามา แต่คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ใช่ซึ่งจะนำคุณภาพมาสู่ทีม ไม่ใช่แค่การเสริมทัพเฉย ๆ,ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น เรามีมาตรฐานสูง”
นั่นคือที่มาที่ไปในช่วง 24 ชั่วโมงแห่งความพลิกผันของดีล โคดี้ กัคโป ที่กำลังจะเปิดตัวเป็นนักเตะใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในอีกไม่ช้านี้, คำถามที่ตามมาคือ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะใช้งาน กัคโป อย่างไร?
จริง ๆ คำตอบมันชัดเจนตั้งแต่ตอนที่นายใหญ่ชาวเยอรมันออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนเกมที่จะเจอกับ แอสตัน วิลลา แล้ว โดยเขาเผยเป็นนัยถึงการดึงแข้ง พีเอสวี มาร่วมทีมในทำนองที่ว่า “สถานการณ์ของทีมตอนนี้คือกองหน้าตัวหลักได้รับบาดเจ็บไป 2 ราย และเขาก็ต้องการใครซักคนเข้ามาแก้ปัญหาตรงนั้น” และนั่นคือตำแหน่งที่ กัคโป จะต้องรับผิดชอบ
หลุยส์ ดิอาซ และ ดิโอโก้ โชต้า แม้จะเป็นแนวรุกคนละสไตล์แต่ทั้งคู่ถูกวางไว้ตรงริมเส้นฝั่งซ้ายเหมือน ๆ กัน ซึ่งนั่นคือตำแหน่งที่ถนัดของสตาร์ดัตช์เช่นกัน เพราะเจ้าตัวลงเล่นให้ พีเอสวี ตรงนั้นมากที่สุดและยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเล่นได้ทุกจุดในเกมรุกเช่นเดียวกัน
หลุยส์ ฟาน กัล ใช้งาน กัคโป ในระบบ 3-5-2 ในทีมชาติฮอลแลนด์โดยให้รับบทบาทเป็นเพลย์เมคเกอร์หลังกองหน้า 2 คนซึ่งเขาก็โชว์ผลงานด้วยการยิง 3 ประตูในรอบแบ่งกลุ่ม และยังรับหน้าที่เล่นลูกตั้งแตะตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์อีกต่างหาก
ดังนั้น การเข้ามาของ กัคโป จะทำให้ 3 แนวรุกด้านบนกลับมามีสมดุล เขาจะเข้ามาแทนที่ตรงริมเส้นฝั่งซ้ายโดยขยับ ดาร์วิน นูนเญซ เข้าไปอยู่ตรงกลางและ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ประจำการที่เดิม ทุกอย่างลงตัว และหากเวิร์คจริง ๆ ก็จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาเป็นทีมที่อันตรายอีกครั้ง
การปิดจ็อบได้อย่างรวดเร็วและแก้ปัญหาได้ถูกจุดเช่นนี้ ทำให้นึกถึงการมาของ หลุยส์ ดิอาซ เมื่อเดือนมกราคมที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นการซื้อนักเตะที่คุ้มค่าและยกระดับทีมแบบก้าวกระโดด ทำให้ หงส์แดง ก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้น 4 แชมป์อย่างเต็มตัวไปด้วย
เช่นเดียวกับการได้ กัคโป แม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียง 3 ถ้วยเพราะเพิ่งตกรอบ คาราบาวคัพ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ในสถานการณ์ที่กำลังต้องการจุดเปลี่ยนแบบนี้ น่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล มีแรงฮึดในการแย่งชิงท็อปโฟร์ไม่น้อย
และหากไม่มากเกินไป การได้กองกลางตัวใหม่อีกซักคนก่อนปิดตลาด คงจะช่วยให้ทีมมีลุ้นมากขึ้นและทำให้กองเชียร์กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง…