แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะสามารถคืนชีพเปิดบ้านเอาชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มเมื่อคืนวันอังคาร แต่ก็ยังมิวายมีการตั้งคำถามกับฝีเท้าของกองหน้าอายุน้อยร้อยล้านอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
แข้งอุรุกวัยกลายเป็นหนึ่งในแพะรับบาป ท่ามกลางปัญหาฟอร์มที่ดรอปลงของทีม หงส์แดง ในช่วงต้นของฤดูกาลอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากค่าตัวมหาศาลถึง 100 ล้านยูโรหรือประมาณ 85 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรไปในทันที
แข้งวัย 23 ปีย้ายมาจาก เบนฟิก้า ด้วยผลงานอันน่าตื่นตาตื่นใจจากการลงสนาม 85 นัด ยิงได้ 48 ประตูกับ 16 แอสซิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลสุดท้ายที่ลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 28 นัด ยิงไปได้มากถึง 26 ประตู
และผลงานที่เข้าตา เยอร์เก้น คล็อปป์ อย่างจัง ก็คงจะเป็นการยิง 2 ประตูในเกม ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับ ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลก่อน ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างทันที
ชื่อของ นูนเญซ กลายเป็นตัวเต็งที่จะย้ายมาร่วมทีมในตลาดซัมเมอร์ ตอนนั้นจำได้ว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ก็อยากจะเห็น คล็อปป์ เซ็นสัญญากับแข้งรายนี้ และพอทีมงานเดินหน้าเรื่องเซ็นสัญญาและ FSG อนุมัติเงินปิดดีลเรียบร้อย…เสียงเฮก็ดังลั่น แอนฟิลด์
การย้ายเข้ามาของ นูนเญซ เป็นความหวังในการพังประตูของ ลิเวอร์พูล ขึ้นมาทันที เพราะ หงส์แดง ไร้ซึ่งกองหน้าตัวเป้าโดยธรรมชาติมานานแล้ว แม้เมื่อก่อนจะมี ดิว็อค โอริกี อยู่ในทีม แต่ที่ผ่านมาก็เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น
ในขณะเดียวกันฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้ตัว เออร์ลิง ฮาแลนด์ เข้ามาเสริมทัพก่อนหน้านั้นไม่นาน ด้วยความเป็นคู่แข่งในการแย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก กันมาในช่วงหลัง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งคู่จะโดนยกขึ้นมาเปรียบเทียบกัน
เมื่อ ลิเวอร์พูล มี นูนเญซ ส่วน แมนฯ ซิตี้ ได้ ฮาแลนด์ ก็คงไม่มีอะไรจะน่าตื่นตาตื่นใจไปกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งเมื่อทั้งคู่ได้มาเผชิญหน้ากันอย่างรวดเร็วในศึก คอมมูนิตี้ ชิลด์ ยิ่งทำให้เกมนี้เป็นที่จับตามองมากขึ้น
ยกแรกดูเหมือนว่ากองหน้า หงส์แดง จะดูดีกว่าเมื่อยิงประตูปิดท้ายให้ทีมเอาชนะ เรือใบสีฟ้า คว้าโล่ห์แชมป์มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ส่วนดาวยิงนอร์วีเจี้ยนกลายเป็นตัวตลกกับจังหวะที่ได้ยิงจ่อ ๆ หน้าประตู แต่บอลดันเหินข้ามคานไปอย่างเหลือเชื่อในช่วงท้ายเกม
หากแต่เมื่อฤดูกาลของจริงเริ่มขึ้น กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มหล่น, 2 เกมแรกพวกเขาทำได้แค่เสมอกับทีมรองบ่อนอย่าง ฟูแลม และ คริสตัล พาเลซ ในขณะที่ นูนเญซ ก็กลายร่างจากเทวดาเป็นซาตานภายในสัปดาห์เดียว
เกมแรกอย่างเป็นทางการใน พรีเมียร์ลีก หัวหอกชาวอุรุกวัยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและสามารถเปลี่ยนเกมช่วยทีมเก็บ 1 คะแนนออกจากถิ่น คราเวน ค็อทเทจ ได้ จากการทำ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ แต่สัปดาห์ต่อมา เขาโดนเล่นงานจนเสียเหลี่ยมถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม พร้อมกับโดนโทษแบน 3 นัด และการโดนประณามจากแฟนบอลว่า เป็นแค่เด็กหัวร้อนที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้
แม้จะกลับมาประเดิมสนามเป็นตัวจริงในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ กับ เอฟเวอร์ตัน แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้ แถมโดนวิจารณ์เรื่องการใช้โอกาสสิ้นเปลือง บ้างก็เริ่มมองว่าเป็นของปลอม
อีกด้านหนึ่งจากที่โดนล้อในแมตช์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ เจ้าหนู ฮาแลนด์ ก็จัดการปิดปากกองแช่งด้วยการยิง 2 ประตูในนัดแรกที่เอาชนะ เวสต์แฮม ไป 2-0 จากนั้นก็กลายร่างทองยิงไป 10 ประตูจาก 6 นัดแรก แถมยังทำแฮททริคไปแล้ว 2 เกม
นั่นจึงทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล บางส่วนเริ่มพูดถึงความคุ้มค่าของการเซ็นสัญญา นูนเญซ กันมากขึ้น โดยเฉพาะค่าตัวในระดับ 100 ล้านยูโรหรือประมาณ 85 ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับ ฮาแลนด์ ที่ ซิตี้ จ่ายค่าฉีกสัญญาไปเพียง 51.2 ล้านปอนด์เท่านั้น
สื่อฝั่งสเปนอย่าง El Pais ถึงกับตีข่าวว่า ผู้บริหารและสตาฟฟ์บางคนใน ลิเวอร์พูล แสดงความไม่เห็นด้วยตอนที่ คล็อปป์ จะเซ็นสัญญากับ นูนเญซ และยิ่งเห็นสถิติในการซ้อมและการลงสนามยิ่งทำให้แน่ใจว่า นี่คือความล้มเหลวในตลาดซื้อขายของนายใหญ่ชาวเยอรมัน
ล่าสุด กองหน้าวัย 23 ปียิ่งถูกตั้งแง่มากขึ้น หลังจากที่ได้เห็น เออร์ลิง ฮาแลนด์ จัดการกังฟูคิกหรือจะเรียกอะไรก็ตาม แต่ช่วยทำประตูชัยให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปได้ 2-1 ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มเมื่อคืนนี้ ทำให้ความกังขาและความสงสัยยิ่งเพิ่มทวีคูณ เมื่อเห็นกองหน้าของคู่แข่งแย่งแชมป์ตะบันยิงเอา ๆ ในขณะที่ดาวยิงทีมรักกลับเงียบเป็นเป่าสาก
แต่เมื่อมานั่งดูสถิติต่าง ๆ พร้อมกับจำนวนเกมที่ ดาร์วิน ได้ลงสนาม เราคงยังไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากเลยด้วยซ้ำว่า ดีลของ นูนเญซ นั้น คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
ย้อนกลับไปตอนที่ ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญากับ ฟาบินโญ เข้ามาร่วมทีมเมื่อปี 2018 ตอนนั้นแข้งบราซิลเลียนถือเป็นความหวังใหม่ในแดนกลาง หลังจากที่พวกเขาเพิ่งพลาดแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก มาหมาด ๆ
ชื่อเสียงของมิดฟิลด์บราซิลเลียนถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นนักเตะที่เนื้อหอมอย่างยิ่งในตลาดซื้อขาย และมีข่าวว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็อยากได้เหมือนกัน แต่ท้ายที่สุด เจ้าตัวก็ตกลงย้ายมายังถิ่น แอนฟิลด์ แบบสุดเซอร์ไพรส์
แม้จะเป็นตัวความหวัง แต่ก็ใช่ว่า ฟาบินโญ จะสามารถปรับตัวและลงสนามได้ทันที เพราะ 8 เกมแรกในซีซัน 2018-2019 สตาร์แซมบ้าไม่ได้มีโอกาสลงเล่นเลยแม้แต่เกมเดียว ทำได้แค่มีชื่อเป็นตัวสำรอง 5 เกมส่วนอีก 3 เกมที่เหลือคือ ไม่มีแม้แต่ชื่ออยู่ในทีม
ตอนนั้นมีคำถามเหมือนกันว่าด้วยรูปร่างสูงโย่งและปวกเปียกแบบนี้จะสามารถรับมือกับเกมที่หนักหน่วงใน พรีเมียร์ลีก ได้ขนาดไหน แต่หลังจากนั้น ฟาบินโญ ก็ค่อย ๆ ยกระดับตัวเองจนกลายเป็นนักเตะที่ ลิเวอร์พูล ขาดไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้เวลาในการปรับตัวกับแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแบ็คซ้ายตัวจริงของทีมได้ เมื่อตอนที่เขาย้ายมาเมื่อปี 2017
14 เกมแรกของฤดูกาล 2017-2018, ร็อบโบ้ ได้ลงเล่นแบบเต็มเกมแค่ 2 นัด มีชื่อเป็นตัวสำรอง 2 นัดส่วนอีก 10 เกมไม่มีชื่ออยู่ในทีม ก่อนจะยึดตัวจริงแบบถาวรได้ในเกมที่ 15 และจากนั้นช่วงที่เหลือของฤดูกาลเขาก็พลาดการลงสนามไปแค่ 4 เกม ก่อนที่จะจับจองตำแหน่งตัวจริงลากยาวจนมาถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ นูนเญซ ในเวลานี้ ก็ไม่ต่างกับสิ่งเคยเกิดขึ้นกับ ฟาบินโญ และ โรเบิร์ตสัน
จริงอยู่ที่ค่าตัวของเขาเพียงคนเดียวอาจจะมากกว่ารุ่นพี่ทั้ง 2 คน แต่ของแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ไม่มีข้อยกเว้น
การเอาไปเปรียบเทียบกับ ฮาแลนด์ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกทีมมีสไตล์การเล่นเป็นของตัวเอง และฤดูกาลที่เหลือก็ยังอีกยาวไกล การจะไปตัดสินว่า นูนเญซ คือความล้มเหลว…มันไม่แฟร์กับเขาเลย
มีการเปิดเผยจากสื่อในอังกฤษว่า อันที่จริงแล้ว คล็อปป์ ตั้งใจจะใช้งานกองหน้าอุรุกวัยเป็นตัวสำรองไปก่อน โดยจะให้ลงเล่นในช่วงท้ายเกมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าเจ้าตัวจะปรับตัวได้ แต่สาเหตุที่ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักตั้งแต่ต้นฤดูกาลเป็นเพราะเรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บที่กำลังรุมเร้า และด้วยการที่ทีมมีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่น จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเพื่อนร่วมทีม
อีกทั้ง ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวผู้เล่นและแท็คติก ซึ่งทำให้นักเตะแทบจะทั้งทีมต้องปรับตัวไปพร้อม ๆ กันด้วย
หากมองกันอย่างแฟร์ ๆ หน่อย, สถิติของ นูนเญซ ก็ไม่ได้แย่ เพราะเขาลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล ไปทั้งหมด 6 นัด รวมทั้งสิ้น 259 นาที ยิงได้ 2 ประตูและทำได้ 1 แอสซิสต์
สิ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะทำได้คือค่อย ๆ บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นี้ไปเรื่อย ๆ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยทุกวัน เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ รอวันหยั่งรากลึกและแผ่กิ่งก้านสาขา
เมื่อถึงเวลานั้น “เวลา” จะบอกกับเราเองว่า ดาร์วิน นูเญซ เป็นดีลที่คุ้มค่ากับ ลิเวอร์พูล หรือไม่…