ลิเวอร์พูล สามารถปิดเบรคก่อนฟุตบอลโลกได้อย่างสวยงาม ด้วยการเก็บชัยชนะเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน ไป 3-1 โดย ดาร์วิน นูนเญซ กลายเป็นผู้เล่นที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากการทำคนเดียว 2 ประตู พร้อมทั้งคว้ารางวัล “แมนออฟเดอะแม็ตช์” มาครองได้อย่างไร้ข้อกังขา
แข้งชาวอุรุกวัยมีพัฒนาการที่น่าสนใจ นับตั้งแต่เปิดตัวยิง 1 ประตูในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ เมื่อเดือนกรกฎาคม แม้จะมีช่วงสะดุดจากการโดนแบน 3 นัดและยิงประตูไม่ได้อยู่พักหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในแนวรุกของทีม หงส์แดง ได้ในเวลานี้
ในช่วงแรก เยอร์เก้น คล็อปป์ มักใช้งาน นูนเญซ ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่ในช่วงหลังที่ฟอร์มเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเนื่องจากการถูกจับไปยืนริมเส้นฝั่งซ้าย โดยมี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน อยู่ตรงกลางและ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ประจำการด้านขวา ตั้งแต่เกมที่บุกไปเก็บ 3 คะแนนจาก ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ที่กรุงลอนดอนเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งการวางแท็คติกแบบนี้ถือเป็นการแก้ปัญหายามที่ไม่มีปีกตัวจริงอย่าง หลุยส์ ดิอาซ ได้เป็นอย่างดี
“เขาคือกองหน้าตัวเป้าที่ดีพร้อมกับมีความเร็ว แต่ก็ถูกจับมาเล่นปีกในวันนี้” เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กล่าวถึง นูนเญซ หลังจบเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “เขาเล่นได้อย่างหลากหลาย เราได้เห็นสิ่งที่เขาได้ เขากำลังก้าวไปข้างหน้า และกำลังมีความสุขกับฟุตบอลในตอนนี้”
ผลงาน 2 นัดหลังสุดทำให้เราเห็นว่ากองหน้าชาวอุรุกวัยทำได้ดีพอสมควรในการลงเล่นในตำแหน่งริมเส้น เขาสามารถก้าวเข้ามาทดแทนการขาดหายไปของ หลุยส์ ดิอาซ และการย้ายทีมของ ซาดิโอ มาเน ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของความเร็ว แต่คำถามที่ตามมาคือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตั้งใจจะใช้งาน นูนเญซ ในตำแหน่งนี้แบบถาวรจริง ๆ หรือ
ต้องบอกว่าสาเหตุที่ทำให้อดีตดาวยิง เบนฟิก้า ถูกจับมายืนในตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายเป็นเรื่องของความจำเป็นส่วนหนึ่ง เพราะนอกจากการอาการบาดเจ็บของปีกชาวโคลอมเบียนแล้ว ลิเวอร์พูล ยังเคราะห์ซ้ำด้วยการต้องเสีย ดิโอโก้ โชต้า ไปอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นายใหญ่ชาวเยอรมันเหลือกองหน้าที่พร้อมใช้งานจริง ๆ เพียง 3 ราย
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเมื่อฟุตบอลโลกจบลง ดิอาซ ก็จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้น คล็อปป์ อาจต้องเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น กองหน้าคู่อาจจะถูกนำกลับมาใช้ หรือแม้กระทั่งระบบ 4-3-3 แบบที่คุ้นเคยก็จะเป็นตัวเลือกด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่า ด้านขวานั้นถูกจับจองโดย ซาลาห์ ในขณะที่ด้านซ้ายเมื่อ ดิอาซ กลับมา ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เขาลงสนาม ดังนั้นตรงกลางที่เหลือจึงจะเป็นการแย่งชิงตำแหน่งกันของ 2 กองหน้าจากอเมริกาใต้อย่าง นูนเญซ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าสตาร์วัย 23 ปีถูกวางบทบาทให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ บ็อบบี้ นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก เบนฟิก้า เมื่อช่วงซัมเมอร์ แต่นั่นคือแผนระยะยาวของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดังนั้น เมื่อจะกลับมาใช้ 4-3-3 ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลก็จำเป็นต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง
ความแตกต่างของทั้งคู่อาจนำความปวดหัวมาให้กับ คล็อปป์ เพราะ นูนเญซ ถือเป็นกองหน้าที่มีสัญชาตญาณการยิงประตูที่เป็นเลิศ หาจังหวะและโอกาสในการจบสกอร์ในกรอบเขตโทษได้อยู่บ่อยครั้ง กดดันเกมรับคู่ต่อสู้ได้ดี ในขณะที่ ฟีร์มีโน ถนัดในตำแหน่งฟอลส์ไนน์ เน้นการลงมาประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมและเชื่อมบอลจากแดนกลางสู่แดนหน้ามากกว่า
ซึ่งหากนายใหญ่เมืองเบียร์ตัดสินใจส่ง นูนเญซ ประจำการยืนค้ำเป็นหน้าเป้า ในอีกทางหนึ่งก็อาจจะสูญเสียศักยภาพด้านอื่นของเจ้าตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วและการเคลื่อนที่หาช่องว่างในแนวรุก เพราะการปักหลักอยู่ตรงกลางตลอดเวลานั้น เป็นเรื่องง่ายที่จะโดนกองหลังคู่ต่อสู้ประกบติดและหาโอกาสพลิกบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายได้ยาก
ในขณะที่ถ้าเลือก ฟีร์มีโน เป็นฟอลส์ไนน์ การเล่นของ ลิเวอร์พูล ก็จะเข้าอีหรอบเดิมคือไม่มีกองหน้าตรงกลาง จังหวะการจบสกอร์ในกรอบเขตโทษก็จะหายไป เกมจะเน้นที่ริมเส้นมากขึ้น และอาจจะโดนจับทางได้ ซึ่งพวกเขาเจอปัญหานี้มาแล้วเมื่อช่วงต้นฤดูกาล
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คล็อปป์ ต้องตัดสินใจแบบนี้ เพราะเขาปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลเป็นต้นมา ก่อนจะมาลงตัวเอาใน 2 เกมสุดท้ายอย่างที่เห็น
ซึ่งถ้ามองกันในความเป็นจริงสาเหตุที่ ดาร์วิน นูนเญซ ถูกเลือกเข้ามาร่วมทีมก็เป็นเพราะคุณสมบัติการถล่มประตูในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวกลาง และเจ้าตัวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความอันตรายให้แก่คู่ต่อสู้ได้มากมายขนาดไหน
นี่อาจจะเป็นคำตอบให้กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ แล้วก็ได้ เพียงแต่ในช่วงเวลาเบรคประมาณ 5 สัปดาห์ต่อจากนี้
ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาจะหาระบบการเล่นที่สามารถรีดศักยภาพของแข้ง 100 ล้านยูโรได้อย่างไรเท่านั้นเอง…