ลิเวอร์พูล เดินทางไปยังกรุงลอนดอนเพื่อเปิดสนามกับ ฟูแลม ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งใครหลายคนมองว่าเกมนี้จะเป็นการประเดิมที่สวยหรูด้วย 3 คะแนนเต็มแบบไม่ยากเย็นนัก
ตัวผู้เล่นของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อคืนนี้ถือว่า “ฟูลทีม” เพราะได้ อลิสซอน เบ็คเกอร์ กลับมาลงเฝ้าเสาทันเวลา แผงแบ็คโฟร์หน้าเดิม โรเบิร์ตสัน-ฟาน ไดค์-มาติป-เทรนท์ อาร์โนลด์ แดนกลางก็เต็มทีม ติอาโก้-ฟาบินโญ-เฮนโด้ ในขณะที่แดนหน้าหลังจากไม่มี ซาดิโอ มาเน ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เดือดร้อนเพราะได้ หลุยส์ ดิอาซ เข้ามาแทน โดยยืนเรียงหน้ากับ ฟีร์มีโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
การจัดตัวเช่นนี้เข้าใจได้เลยว่า คล็อปป์ ต้องการนักเตะที่ดีที่สุดและเคยเล่นด้วยกันมาก่อนลงสนามเป็นอันดับแรก โดยพวกที่เข้ามาใหม่อย่าง ดาร์วิน นูเญซ และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ รอโอกาสอยู่ข้างสนามไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้เข้าใจได้และไม่มีอะไรน่ากังวล
สำหรับรูปเกมในนัดนี้แฟนบอลคงคาดการณ์เอาไว้ก่อนว่า ลิเวอร์พูล จะพยายามเล่นในเกมของตัวเองคือการครองบอลและพยายามหาโอกาสเข้าทำ ในขณะที่ ฟูแลม เองก็ตั้งรับลึกและใช้บอลยาวเค้าท์เตอร์แอ็ทแท็คเข้าตอบโต้ แต่กลายเป็นว่าพอเสียงนกหวีดดังขึ้นเจ้าบ้านกลับเพรสใส่ชนิดที่ไม่ให้ทีมเยือนได้ตั้งตัว
ดูเหมือนว่า มาร์โก้ ซิลวา กุนซือของเจ้าสัวน้อยจะทำการบ้านมาอย่างหนัก เขาไม่ปล่อยให้ปีกทั้ง 2 ข้างของ ลิเวอร์พูล เล่นได้ง่าย หลุยส์ ดิอาซ โดนประกบติด โดนเข้าบอลหนักและซ้อนสองตลอด ทำให้บอลไม่สามารถเคลื่อนที่ไปถึงเส้นหลังหรือในแดนที่ 3 ได้ ในขณะที่ฝั่ง ซาลาห์ ก็โดนคล้าย ๆ กัน แบ็คทั้ง 2 ข้างของ ฟูแลม ไม่รอจังหวะให้ได้ครองบอล พวกเขาวิ่งใส่ทันทีเมื่อบอลมาถึงคู่แข่ง นั่นจึงทำให้ริมเส้นของ ลิเวอร์พูล พลิกบอลเล่นต่อได้ยากและสร้างเกมรุกได้ลำบาก
ซิลวา สั่งลูกทีมไล่เพรสทีมเยือนตั้งแต่แดนบนภายใต้แผน 4-2-3-1 แต่ถ้าดูในเกมจริง ๆ ในจังหวะตั้งรับพวกเขายืนกันแบบ 4-4-2 โดยใช้ อันเดรียส เปเรยรา ที่เล่นเป็นเพลย์เมคเกอร์ดันขึ้นมาเป็นกองหน้าคู่กับ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช แล้วไล่กดดันคู่เซ็นเตอร์ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งก็ทำให้ปั่นป่วนได้ไม่น้อยทีเดียว
เมื่อเจอแบบนี้จึงไม่แปลกที่กว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะสามารถตั้งเกมได้ก็ล่วงเข้าไปเกือบ 15 นาที ในขณะที่ ฟูแลม เองก็มีลูกโต้สวย ๆ ให้เห็น เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าเกมนี้นักเตะ หงส์แดง ต้องเจองานยาก แต่เอาจริง ๆ พวกเขาก็เจอเกมแบบนี้มาตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง ดังนั้นจึงยังไม่มีอะไรน่ากังวลนัก
แต่พอเล่นไปเล่นมากลายเป็นเจ้าบ้านที่ดูดีกว่า พวกเขาปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ครองบอล แต่ก็ไม่ให้เข้ามาป้วยเปี้ยนในเขตโทษ แถมบอลริมเส้นยังโดนล็อคปิดตาย ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จึงไม่สามารถสร้างโอกาสได้อย่างถนัดถนี่ แถมยังต้องเสียประตูไปก่อนจากลูกโต้กลับ โดย อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช โขกเข้าไปเป็นประตู
ลูกนี้ทำให้นึกถึงประตูที่เสียให้กับ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อฤดูกาลก่อน นั่นคือการใช้แท็คติกพยายามเปิดบอลข้ามคู่กองหลังไปยังจุดอ่อนที่แบ็คขวาของ ลิเวอร์พูล จนทำให้ได้ประตู และเกมนี้ก็เหมือนกัน เทรนท์ โดนเล่นงานด้วยลูกโด่งอีกครั้ง ซึ่งต้องชม ซิลวา ว่าทำการบ้านมาอย่างละเอียดยิบจริง ๆ
บทสรุปของครึ่งแรกคือ ลิเวอร์พูล เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งทีมของ คล็อปป์ เป็นแบบนี้แทบทุกครั้งในช่วงหลัง ก่อนจะมาถูกปลุกใน 45 นาทีหลังและพลิกเอาชนะได้ แต่เกมนี้ไม่เป็นแบบนั้น เมื่อลงมาเล่นในครึ่งกลายเจ้าบ้านที่มั่นใจมากขึ้นและกล้าเล่นมากขึ้น พวกเขาต่อบอลสั้นใส่คู่แข่ง ไล่เพรสจนนักเตะ หงส์แดง ไม่สามารถครองบอลได้เลยในช่วง 5 นาทีแรก แถมยังเกือบจะยิงได้อีก 1 ประตู น่าเสียดายที่บอลไปชนเสาเด้งออกมา
คล็อปป์ เห็นท่าไม่ดีจึงจัดการเปลี่ยนตัวทันทีในนาทีที่ 51 หรือแค่ 6 นาทีของครึ่งหลัง โดยส่ง ดาร์วิน นูนเญซ ลงแทน ฟีร์มีโน ที่หายไปจากเกมและ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ลงแทน ติอาโก้ ที่ได้รับบาดเจ็บ กลายเป็นว่าเกมค่อย ๆ ดีขึ้น เกมรุกดูอันตรายขึ้น และมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 64
การเปลี่ยนตัวนี้มีผลต่อเกมรุกของ เดอะเร้ดส์ เป็นอย่างมาก บอลไปข้างหน้ามากขึ้น และสร้างความกังวลให้กับแนวรับเจ้าบ้านได้ไม่น้อย ดูได้จากประตูตีเสมอ ซึ่งก่อนหน้านี้ ซาลาห์ แทบจะไม่มีพื้นที่ในการเล่นเลย แต่จังหวะนี้กลายเป็นว่าเขายืนโล่ง ๆ อยู่คนเดียว เพราะคู่แข่งมัวแต่เข้าไปเพรสตรงกลาง จากนั้นพอได้บอลจาก เอลเลียต ก็ลากไปเปิดเข้ากลางให้ นูนเญซ ไขว้เป็นประตูสุดสวย ถือเป็นประตูแรกใน พรีเมียร์ลีก และเป็นการประเดิมที่ยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม, ลิเวอร์พูล ก็มาเสียประตูที่ 2 เมื่อ ฟาน ไดค์ เสียท่าไปฟาวล์ มิโตรวิช ในเขตโทษ ซึ่งเมื่อเช็คจาก VAR แล้วเข่าของพี่ยักษ์ก็ไปสะกิดจริง ๆ แต่ก็มองได้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว ไม่เข้าบอลพรวดพราด เพียงแต่เหลี่ยมของกองหน้าเจ้าบ้านดีกว่า ลูกนี้จึงปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งเกมนี้ต้องชมดาวยิงชาวเซิร์บที่สร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของทีมเยือนได้ตลอด 90 นาที ถือเป็นนักเตะที่เด่นที่สุดของ ฟูแลม ก็ว่าได้ และการยิง 2 ประตูของเขาก็ไม่มีข้อกังขาเลยว่านี่คือ “แมนออฟเดอะแม็ตช์” ของนัดนี้
เมื่อเสียประตูไป คล็อปป์ ก็ส่ง คาร์วัลโญ ลงสนาม เป็นการกลับมาเยือนถิ่นเดิมทันทีหลังย้ายมาที่ แอนฟิลด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ และจากนั้นอีก 4 นาที หงส์แดง ก็มาได้ประตูตีเสมอแบบมีโชคนิด ๆ จาก ซาลาห์ และเป็นการทำแอสซิสต์ของ นูนเญซ ได้อีกด้วย หมดเวลาทั้ง 2 ทีมแบ่งแต้มกันไปแบบสุดมัน 2-2
เกมนี้ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานจริง ๆ ซึ่งก็ต้องชม ฟูแลม และ มาร์โก้ ซิลวา ด้วยที่เตรียมตัวทำการบ้านกันมาอย่างดี ส่วนแง่ดีที่เห็นคือความอันตรายของ ดาร์วิน นูนเญซ และการมีส่วนร่วมกับเกมของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ซึ่งทั้งคู่มีส่วนกับ 2 ประตูที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องดีที่ คล็อปป์ มีตัวเลือกในเกมรุกเพิ่มขึ้นและมีเกมที่หลากหลายมากขึ้นด้วย
แต่ถ้ามองในภาพรวม ลิเวอร์พูล คว้า 1 แต้มกลับออกมาจาก คราเวน คอทเทจ แบบหืดจับเช่นนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือน เยอร์เก้น คล็อปป์ ว่า พรีเมียร์ลีก ปีนี้ของพวกเขานั้นจะไม่ใช่งานง่าย และการลุ้น 4 แชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้นมันเป็นแค่อดีต นายใหญ่ชาวเยอรมันมีการบ้านกองใหญ่ที่ต้องสะสางโดยด่วนหากพวกเขาต้องการกลับมาลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
ก็หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมกับ ฟูแลม จะช่วยปลุกนักเตะ หงส์แดง ให้กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้งในนัดต่อ ๆ ไป