สถิติการลงสนามนัดแรกในปีใหม่ของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำงานของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ถือเป็นของแสลงก็ว่าได้เพราะจาก 8 นัดที่ผ่านมา นายใหญ่ชาวเยอรมันพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 2 เกมเท่านั้น
เกมที่บุกไปแพ้ให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ในแมตช์ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่พวกเขาต้องประสบพบเจอกับความผิดหวังในการประเดิมปีปฏิทินใหม่ กลายเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา
หากกล่าวถึงประสบการณ์ในการคุมทีมลงเล่นช่วงปีใหม่แล้ว, คล็อปป์ ประเดิมนัดแรกในปี 2016 โดยออกไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และโดน มิคาอิล อันโตนิโอ พร้อมด้วย “กฎการยิงประตูทีมเก่า” จาก แอนดี้ คาร์โรล เอาชนะไปได้ 2-0 พร้อมกับเป็นการลงเล่นในถิ่น อัพตัน ปาร์ค เป็นครั้งสุดท้ายของทีมเยือนด้วย
จากนั้นในปีถัดมา หงส์แดง ก็ทำได้เพียงเสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ไปด้วยสกอร์ 2-2 โดยพวกเขาโดนเจ้าบ้านไล่ตีเสมอจากการเสีย 2 จุดโทษและเป็นเกมสุดท้ายของ ซาดิโอ มาเน ก่อนจะโบกมือลาไปเล่น แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของฟอร์มอันย่ำแย่ด้วยการเก็บชัยชนะได้เพียง 2 จาก 12 เกมต่อจากนั้น หลุดวงโคจรในการลุ้นแชมป์และตกรอบบอลถ้วยอย่าง ลีกคัพ และ เอฟเอคัพ ไปอย่างรวดเร็ว
ปี 2018 เป็นครั้งแรกที่ คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะได้จากประตูสุดดรามาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากประตูของ รักนาร์ คลาวาน เฉือน เบิร์นลีย์ ไป 2-1 แต่ในปีต่อมาก็ไปแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 ทำให้เส้นทางการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกต้องสะดุดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ที่ ลิเวอร์พูล สามารถก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จนั้น พวกเขาก็ทำได้ดีด้วยการเปิดบ้านเอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไป 2-1, ปีต่อมา 2021 ในซีซันที่กองหลังตัวหลักได้รับบาดเจ็บกันระนาวก็ส่งผลทำให้ต้องมาแพ้ต่อ เซาแธมป์ตัน ไป 1-0 และภาพการหลั่งน้ำตาหลังจบเกมของ ราล์ฟ ฮาเซนฮัทเทิล ก็เป็นอีกช็อตหนึ่งที่ถูกพูดถึง
และถ้ายังจำกันได้เมื่อปีที่แล้วก่อนที่ ซาลาห์ และ มาเน จะไปเล่น แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์, หงส์แดง ก็เสมอกับ เชลซี 2-2 ชนิดที่ขึ้นนำไปก่อน 2-0 ด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้น คล็อปป์ ก็พาทีมติดปีกไม่แพ้ใครในเกมลีกติดต่อกัน 18 นัดจนจบฤดูกาลและมีแต้มห่างจาก แมนฯ ซิตี้ เพียงคะแนนเดียว พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลานั้นแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งแต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็สะท้อนถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในแนวรับของเขาหลังจบเกมที่เอาชนะ อาร์เซนอล 2-0 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2022
“ตอนช่วงต้นเดือนมกราคม พูดตามตรงว่าเราต้องปรับตัวกันใหม่ เราต้องตกลงกันเรื่องเกมรับกันเป็นอันดับแรก มิเช่นนั้นเราก็จะเหมือนกับทีมอื่น ๆ เดี๋ยวชนะ เดี๋ยวแพ้ วันนี้เราเอาชนะได้ 2-0 แต่เราเคยมีเกมที่ชนะ 1-0 ซึ่งเราอาจจะไม่ชนะในเกมแบบนี้ถ้าไม่เน้นเรื่องเกมรับเป็นอันดับแรก”
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นของฤดูกาล 2022-2023 และนายใหญ่ชาวเยอรมันก็พยายามใช้การฝึกซ้อมเตรียมทีมที่ ดูไบ เมื่อเดือนธันวาคมในการพัฒนาและแก้ไข แต่ท้ายที่สุดพอกลับมาลงสนามหลังจบฟุตบอลโลก ลิเวอร์พูล ก็ยังเสีย 8 ประตูจาก 4 เกมหลังสุดอยู่ดี
การลงเตะช่วงบ็อกซิ่งเดย์จนถึงปีใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมีเพียง ฟูแลม และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่สามารถเก็บได้ 9 คะแนนเต็มจาก 3 นัด ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เก็บได้ 6 คะแนนจาก 3 เกม ซึ่งเมื่อดูผิวเผินก็ไม่ใช่ผลงานที่น่าเกลียด แต่เมื่อดูจากมาตรฐานและความคาดหวังกลายเป็นว่าพวกเขาทำได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังคงต้องแบกรับความกดดันเช่นนี้ต่อไป จนกว่าเขาจะยกระดับผลงานของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่เหลือได้อีกครั้ง