ลิเวอร์พูล สามารถเอาตัวรอดได้ในเกมที่ออกไปเยือน อินเตอร์ มิลาน ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอ๊าท์เลกแรกจากการตุนสกอร์ไปก่อน 2 ลูก ใครที่ไม่ได้ดูเกมคู่นี้อาจจะคิดว่า หงส์แดง มีฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่าเจ้าบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วต้องบอกว่าพวกเขาอาศัยความเก๋าบวกกับโชค ที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาเป็นอย่างที่เห็นมากกว่า
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกสตาร์ทเกมนี้ด้วยการส่งเจ้าหนู ฮาร์วีย์ เอลเลียต ลงเล่นเป็นหนึ่งในสามกองกลางอย่างสุดเซอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นการลงเล่นใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก นัดแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม, เชื่อว่าตอนที่ประกาศไลน์อัพออกมา หลายคนคงสงสัยว่านายใหญ่ชาวเยอรมันคิดอะไรอยู่ถึงกล้าส่งดาวรุ่งลงสนามในเกมสำคัญเช่นนี้
หากมองกันในแง่ดีคือการทำสถิติใหม่ให้กับสโมสรและตัวของนักเตะเอง เพราะการได้ประเดิมเป็นตัวจริงทำให้ “เจ้าจุก” กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ได้ออกสตาร์ทลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงในถ้วยใบนี้ โดยสร้างสถิติใหม่ที่ 18 ปี 318 วัน ทำลายสถิติรุ่นพี่อย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ ที่เคยทำเอาไว้ตอนอายุ 18 ปี กับ 354 วัน ในเกมที่เสมอกับ สปาร์ตัก มอสโคว์ 1-1 เมื่อเดือนกันยายน 2017
ทราบกันดีว่า เอลเลียต ถือเป็นดาวรุ่งที่ คล็อปป์ จะฝากความหวังเอาไว้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากที่เคยส่งเจ้าตัวไปเล่นกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ มาแล้วเมื่อซีซันก่อน เจ้าตัวก็สามารถแจ้งเกิดด้วยการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นที่ประทับใจบรรดาแฟน ๆ ที่นั่น แถมยังมีชื่อลุ้นรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีกับเค้าด้วย
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เมื่อกลับมายังถิ่น แอนฟิลด์ นายใหญ่ชาวเยอรมันจึงพยายามสนับสนุนดาวเตะรายนี้อย่างเต็มที่ โดยให้โอกาสได้ลงเล่นตั้งแต่เปิดฤดูกาล แต่ก็น่าเสียดายในขณะที่ฟอร์มกำลังจะเข้าที่เข้าทางก็ดันโชคร้ายมาได้รับบาดเจ็บเสียก่อนในเกมที่เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว
หลังจากที่พักไปเกือบ 5 เดือน แข้งวัย 18 เพิ่งได้กลับมาลงเล่นอีกครั้งในเกม เอฟเอคัพ ที่เจอกับ คาร์ดิฟ ซิตี้ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถยิงประตูได้ด้วย นับเป็นการคัมแบ็คในฝันก็ว่าได้ แต่คงไม่มีใครคิดว่าในเกมนัดสำคัญและเกมใหญ่อย่างการออกไปเยือน อินเตอร์ มิลาน เมื่อคืนวันอังคาร คล็อปป์ จะให้ เอลเลียต ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเคียงข้าง ติอาโก้ อัลคันทารา และ ฟาบินโญ ตั้งแต่นาทีแรก
เดาว่าที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะความฟิตของพวกตัวหลักในแผงกองกลางที่อาจจะยังไม่เต็มร้อยนัก เห็นได้จากการที่มีชื่อของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ นาบี เกอิต้า เป็นตัวสำรอง อีกใจก็คงอยากจะใช้ความสด การสร้างสรรค์เกมเป็นทีเด็ดและหวังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับเจ้าบ้าน เพราะเชื่อว่า ซิโมเน อินซากี้ คงศึกษาเกมของ ลิเวอร์พูล มาเป็นอย่างดี และน่าจะเน้นไปที่พวกแข้งตัวหลัก ๆ มากกว่า
อย่างไรก็ตาม, หากประเมินฟอร์มการเล่นแล้ว เอลเลียต ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก เพราะแม้ว่าจะมีโอกาสทำเกมอยู่ 2-3 ครั้ง แต่การเล่นส่วนใหญ่ก็ดูจะลนและเร่งเกินไป แถมยังมีจังหวะที่เสียบอลในพื้นที่อันตรายให้เห็นอีกด้วย
สถิติของอดีตดาวรุ่งของ ฟูแลม ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่คาดหวัง ทั้งการเลี้ยงบอลไม่ผ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีจังหวะวิ่งเติมเกม และจ่ายบอลสำเร็จเพียง 74% เท่านั้น รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องเกมรับอีกต่างหาก
จนกระทั่งเมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนเกมด้วยการส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า และ หลุยส์ ดิอาซ ลงมาแทน ฟาบินโญ, เอลเลียต และ ซาดิโอ มาเน เท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม
อันที่จริงจะบอกว่าดาวเตะวัยละอ่อนฟอร์มตกก็ไม่ใช่ เพราะในเกมนี้ อินเตอร์ เตรียมตัวมาดี พวกเขาใช้แท็คติกหนามยอกเอาหนามบ่งด้วยการเน้นเพรสซิ่งเป็นหลัก โดยเฉพาะในแดนกลางที่เข้าบดบี้แย่งบอลตั้งแต่นาทีแรก ทำให้ ลิเวอร์พูล ตั้งเกมได้ยาก เก็บบอลจังหวะสองไม่ค่อยได้ รูปเกมตั้งแต่ครึ่งแรกจนไปถึงกลางครึ่งหลังส่วนใหญ่จะเป็นของเจ้าบ้านทั้งสิ้น
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องของแท็คติกล้วน ๆ และไม่ใช่แค่ เอลเลียต เท่านั้นที่เล่นไม่ออก แข้งรุ่นพี่รายอื่น ๆ ก็โชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานกันหลายคนจนกระทั่ง คล็อปป์ เปลี่ยนตัว นั่นแหละ รูปเกมจึงดูดีขึ้นมาและทำประตูได้
แม้เกมนี้ ฮาร์วีย์ เอลเลียต จะโชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เท่าที่ฟังจากเสียงของแฟนบอลและกูรูหลาย ๆ คนก็ไม่ได้มีใครออกมาวิจารณ์หรือต่อว่าเสีย ๆ หาย ๆ เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ หงส์แดง สามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ ส่วนอีกเหตุผลคือพวกเขามองว่าแข้งรายนี้ยังสามารถพัฒนาฝีเท้าได้ไกลกว่านี้
การถูกส่งลงเล่นในเกมใหญ่คือ การเสริมกระดูกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และน่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ มองแข้งดาวรุ่งรายนี้ค่อนข้างพิเศษ และเชื่อว่า เอลเลียต จะเป็นนักเตะคนสำคัญที่จะมีอนาคตที่สดใสกับ ลิเวอร์พูล ไปอีกนานเลยทีเดียว