สภาพของ ลิเวอร์พูล หลังจบเกมที่แพ้ให้กับ อาร์เซนอล ในเวลานี้ คือคนละทีมกับที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน รวมทั้งยังเป็นคนละทีมเมื่อปีที่แล้วที่ดาหน้าลุ้น 4 แชมป์อย่างไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน
เมื่อมองไปที่ 11 ตัวจริงเกมเมื่อคืนนี้ เราจะเห็นได้ว่านักเตะส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จกับทีมมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะชุดที่คว้าได้ทั้งแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2019-2020 ไม่ว่าจะเป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ บวกกับชุดดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยอย่าง คอสตาส ซิมิคาส, ติอาโก้ อัลคันทารา, หลุยส์ ดิอาซ และ ดิโอโก้ โชต้า มีเพียง ดาร์วิน นูนเญซ เท่านั้นที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อช่วงซัมเมอร์
ก่อนหน้านี้ คล็อปป์ และทีมงานเชื่อกันว่าทีมชุดปัจจุบันจะยังคงครองความยิ่งใหญ่และลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ อย่างน้อยปีนี้เป็นปีสุดท้าย เพราะผู้เล่นอย่าง ฟาน ไดค์, มาติป, เฮนโด้, ติอาโก้ รวมไปถึง ซาลาห์ น่าจะอยู่ในช่วงเลยจุดพีคไปไม่เท่าไหร่
หากแต่หลังจบเกมที่บุกไปโดนแข้งอายุน้อยของ อาร์เซนอล เฉือนเก็บ 3 คะแนนได้ กลายเป็นว่าสิ่งที่นายใหญ่ชาวเยอรมันคิดเอาไว้นั้นผิดคาดโดยสิ้นเชิง
ตอนแรกที่ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทซีซันใหม่ด้วยผลเสมอกับ ฟูแลม และ คริสตัล พาเลซ เชื่อว่าหลายคนคงยังไม่คิดว่า นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ทีมกำลังเข้าสู่โหมดขาลง เพราะในเวลานั้นทีมมีปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บเกือบ 10 ราย ในขณะที่แข้งตัวหลักก็ยังไม่ได้หนีหน้าไปไหน รวมทั้งยังได้ นูนเญซ กองหน้าคนใหม่เข้ามาร่วมทีม สิ่งที่ต้องทำคือรอเวลาให้ทุกอย่างลงตัว เดี๋ยวเครื่องจักรสีแดงก็เดินหน้าคว้าชัยได้เอง
แต่เมื่อยิ่งเล่นไปตามโปรแกรมมากเท่าไหร่ ปัญหาต่าง ๆ ก็ยิ่งตามมา แม้จะได้ผู้เล่นตัวหลักกลับมาลงสนามแบบครบครัน แต่ฟอร์มโดยรวมก็ไม่ได้ดีขึ้น เกมพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเพียงการกระตุ้นระยะสั้น ๆ เพราะแม้จะกลับมาคว้าชัยเหนือ บอร์นมัธ แบบถล่มทลาย 9-0 และเก็บ 3 คะแนนจาก นิวคาสเซิล ได้ต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเดิม
ความพ่ายแพ้ต่อ นาโปลี คือจุดต่ำสุด พวกเขาเล่นแบบไม่มีทรง ไร้พละกำลังและแรงจูงใจ และถึงแม้จะเก็บชัยได้จาก อาแจ็กซ์ และ เรนเจอร์ส แต่เกมที่เสมอกับ ไบรท์ตัน คือสิ่งที่เริ่มทำให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล กำลังย่ำแย่
จนกระทั่งการบุกเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อคืนที่ผ่านมา
ผลการแข่งขันยังไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ได้ดีเท่ากับฟอร์มการเล่นตลอด 90 นาทีของพวกเขา ตั้งแต่การโดนเจาะประตูตั้งแต่ 58 วินาทีแรกตอนเริ่มเกม การโดนลูกสองจากเกมโต้กลับในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก และลูกจุดโทษที่มาจากการขึงเกมรุกของเจ้าบ้าน สิ่งเหล่านี้ได้บอกกับเราว่าลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีปัญหาหนักเกินจะเยียวยาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
สภาพของ หงส์แดง เปลี่ยนไปจากเดิมแทบจะโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งพละกำลัง ไร้แรงกระตุ้น และสภาพจิตใจย่ำแย่
เกมเมื่อคืนยังเป็นภาพสะท้อนวงจรชีวิตของทั้ง 2 ทีมได้เป็นอย่างดี ช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา คล็อปป์ ปั้น ลิเวอร์พูล จากทีมกลางตารางให้ก้าวขึ้นสู่ยอดทีมของยุโรปและทีมที่ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับมหาเศรษฐีอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สวนทางกับ อาร์เซนอล ที่ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ หลังยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ จนมาถึง อูไน เอเมรี ซึ่งทำให้พวกเขาห่างหายจากเวทียุโรปไปเกือบ 10 ปี แต่หลังจบเกมดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังกลับด้านกัน เมื่อ หงส์แดง เข้าสู่ช่วงขาลงอย่างเต็มตัว ในขณะที่ เดอะกันเนอร์ส ประกาศพร้อมลุ้นแชมป์เป็นที่เรียบร้อย
ไม่ใช่เรื่องผิดที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะยึดนักเตะชุดเดิม ๆ เอาไว้ในทีมเพราะความสำเร็จที่ผ่านมา แต่เมื่อดูจากฟอร์มการเล่นในนัดล่าสุดมันอาจทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่านี่อาจจะถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เสียที ยิ่งฟุตบอลแบบ เกเก้นเพรสซิง หรือ High Press คือเกมที่ต้องใช้พละกำลังมหาศาลและจิตใจที่ห้าวหาญพร้อมท้าชนตลอดเวลา การมีนักเตะตัวจริงที่อายุแตะหลัก 30 ถึง 5 คนในทีมไม่น่าจะตอบสนองกับแท็คติกแบบนี้ได้อีกต่อไป
มิเกล อาร์เตต้า ทำให้เห็นแล้วว่าการจะเล่นฟุตบอลสมัยใหม่นั้นทุกอย่างต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นแท็คติกการเล่น สภาพความฟิตของนักเตะ และสภาพจิตใจแบบ “Monster Mentality” คุณจึงจะสามารถเก็บชัยชนะเหนือคู่แข่งได้
ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาแทบจะหาไม่ได้จาก ลิเวอร์พูล แล้ว ณ เวลานี้…
การลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของพวกเขาน่าจะจบลงเป็นที่เรียบร้อยตามที่ คล็อปป์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังจบเกม ต่อจากนี้คงทำได้ดีที่สุดคือการประคับประคองทีมให้อยู่บนเส้นทางลุ้นท็อปโฟร์ให้ดีที่สุด และหันไปโฟกัสกับฟุตบอลถ้วยและฟุตบอลยุโรป
จากนั้น จะเป็นเวลาของการสร้างทีมใหม่เพื่อกลับมาสานต่อความยิ่งใหญ่ที่ตัวของ คล็อปป์ เองเคยทำเอาไว้ ก่อนจะวางมือหลังหมดสัญญา
ปีที่ 7 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อาจเป็นอาถรรพ์เหมือนอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้ แต่ให้ถือซะว่าเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า เพราะโลกของฟุตบอลย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ