เกมที่ ลิเวอร์พูล แพ้ให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ นั้น แม้ว่าจะเป็นความพ่ายแพ้เกมที่ 2 ของฤดูกาลจากการลงเล่น 19 นัด แต่ก็ทำให้เรามองเห็นปัญหาสำคัญบางอย่างที่ถูกมองข้ามมาตลอด
ว่ากันถึงรูปแบบการเล่นหรือทรงบอลที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ปลูกฝังไว้ให้กับลูกทีมกันก่อน เราน่าจะพอหลับตานึกภาพออกได้ว่าพวกเขาจะมาในฟอร์มไหน เล่นเกมรุกอย่างไร และตั้งเกมรับลักษณะไหน
เกมของ ลิเวอร์พูล ในซีซันนี้จากที่ดูมาตั้งแต่เปิดฤดูกาล ไม่มีอะไรซับซ้อน พวกเขาเน้นการเซ็ตบอลจากแดนหลังโดยคู่เซ็นเตอร์ที่จะผ่านบอลให้กับมิดฟิลด์ตัวกลาง หรือไม่ก็แอบวางบอลยาวแบบหวังผลได้ จุดพลุข้ามหัวแนวรับคู่ต่อสู้ แล้วแต่จังหวะและโอกาส หรือการวางบอลออกซาย-ชวาเพื่อตัดขั้นตอนของการถ่ายบอลไปมาเมื่อมีช่องว่าง
จากนั้นเกมรุกจะทำหน้าที่วิ่งจี้ฟูลแบ็คและกองหลังคู่แข่ง พร้อมกับการเติมของแบ็คทั้ง 2 ข้างเพื่อครอสบอลเข้าไปตรงกลางหรือทำชิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ จากนั้นคือการจบสกอร์
การเจาะตรงกลางนั้นจะแล้วแต่จังหวะของการถ่ายบอลไปมา เพราะทุกทีมที่เจอกับ หงส์แดง จะเน้นการแพ็คแดนกลางให้แน่นเข้าไว้เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่นำไปสู่การเสียประตูได้มากที่สุด โดยจะปล่อยให้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล้อปป์ เซ็ตเกมเข้ามาก่อนจะใช้การยืนซ้อนกันด้านข้างโดยเฉพาะด้านขวาเพื่อหยุด โม ซาลาห์ หรือใช้กองหลังตัวสูงใหญ่คอยสกัดการครอสบอลจากปีก
ส่วนโอกาสของการทำประตูจะมาจากการใช้เกมโต้กลับเร็วเจาะพื้นที่ด้านข้างเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างของ ลิเวอร์พูล ดันขึ้นสูงจะทำให้เกิดช่องว่าง ใช้การวางบอลแม่น ๆ ทะลุแดนกลางและไปถึงริมเส้นแล้วใช้ความสามารถเฉพาะตัวและความเร็วของกองหน้าเข้าวัดกับคู่เซ็นเตอร์ โดยมีกองกลางคอยสอดเข้ามาเพิ่มโอกาสในการยิงประตู ซึ่งเห็นได้จากเกมที่แพ้ให้กับ เวสต์แฮม และเสมอกับ ไบรท์ตัน
นี่คือลักษณะเกมของ ลิเวอร์พูล ที่เกิดขึ้นในซีซันนี้ ซึ่งเมื่อมองจากผลงานโดยรวมบนตารางคะแนนยังถือว่าพวกเขายังทำได้อย่างยอดเยี่ยม…
หากแต่ในนัดที่แพ้ เลสเตอร์ เมื่อคืนวันอังคารได้เปิดเผยให้เห็นปัญหาบางอย่างที่หลายคนมองข้ามไป นั่นคือ ความเฉียบขาดในการจบสกอร์!
หลายเกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่สร้างสรรค์โอกาสได้อย่างมากมาย นั่นจึงทำให้แผงกองหน้ามีโอกาสในการส่องประตูคู่แข่งเกือบตลอดทั้งเกม ในขณะเดียวกันก็ยิงทิ้งยิงขว้างกันเยอะ หากแต่พวกเขาก็รู้ว่าครั้งนี้ยิงไม่ได้ เดี๋ยวก็ได้โอกาสยิงอีก ซึ่งหลายเกมก็เป็นแบบนี้ แต่แค่ที่ผ่านมาสามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ ข้อเสียตรงนี้จึงถูกลืมไป
พิสูจน์ได้จากสถิติก่อนเกมวันอังคาร หงส์แดง เป็นทีมที่ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้ 28 นัดติดต่อกัน ก่อนจะมาเสียสถิติในเกมนี้ โดยพวกเขาพลาดท่าจากการเสียสมาธิเพียงจังหวะเดียวและโดน ลุคแมน ปีก จิ้งจอก ลงโทษอย่างเจ็บปวด
ตัวเลขหลังเกมแสดงให้เห็นว่า ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีโอกาสยิงตรงกรอบแค่ครั้งเดียวและสามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้เลย ในขณะที่ ซาลาห์, มาเน, โชต้า และผู้เล่นในตำแหน่งอื่น ๆ ช่วยกันยิง ช่วยกันทำ เบ็ดเสร็จรวมกัน 16 ครั้ง โดยยิงตรงกรอบ 4 ครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้เลย
ส่วนหนึ่งต้องยกให้ความยอดเยี่ยมของ แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่โชว์ซูเปอร์เซฟตลอดทั้งเกม และส่วนหนึ่งต้องโทษความเฉียบขาดของนักเตะทีมเยือนที่ไม่ยอมทำงานในเกมนี้ด้วย
เกมกับ เลสเตอร์ เป็นอีกบทพิสูจน์ของศักยภาพของทีมที่จะลุ้นแชมป์ แน่นอนว่ามันต้องมีวันที่เล่นไม่ดี แต่ในวันแบบนั้นสิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้คือ การจบสกอร์…ซึ่งนัดนี้ลูกทีมของ คล็อปป์ ทำไม่สำเร็จ!
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นกำลังบอกกับกุนซือชาวเยอรมันและทีมงานว่า คงต้องทำอะไรซักอย่างในเดือนมกราคมนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่พวกเขาจะไม่มี 2 คีย์แมนสำคัญอย่าง โม ซาลาห์ และ มาเน ที่ต้องไปเล่น แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชันส์
ตัวผู้เล่นสำรองที่มีอยู่น่าจะยังไม่ดีพอที่จะเติมเต็มการจบสกอร์ แม้อาจจะมีประโยชน์ในบางนัด แต่หากจะหวังพึ่งพากันยาว ๆ เพื่อลุ้นแชมป์นั้น ต้องบอกว่ายังห่างไกลจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี อยู่พอสมควร
การเสริมแนวรุกตัวใหม่ไม่ว่าจะเป็นสไตรเกอร์หมายเลข 9 หรือปีกจอมถล่มประตูจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
หากพวกเขาต้องการยืนหยัดต่อสู้เพื่อแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 2!
ปีนี้แนวรับมั่นคงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่กองกลางก็สามารถหาจุดลงตัวได้แล้ว ดังนั้น ก็คงจะเหลือเพียงแดนหน้าที่เป็นการบ้านชิ้นสำคัญของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน