เกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ไบรท์ตัน ไป 3-3 เมื่อคืนนี้ ยังคงแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากของพวกเขา โดยเฉพาะในเกมรับกับการเสียประตูให้คู่แข่งไปก่อนในช่วงต้นเกม ซึ่งในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก
นับเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ โดนคู่ต่อสู้ยิงขึ้นนำไปก่อนถึง 5 เกมและสามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้แค่เกมเดียวในนัดที่เฉือน นิวคาสเซิล 2-1
นอกนั้นคือการโดนยิงในช่วงครึ่งแรกทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่เกมกับ ฟูแลม และ คริสตัส พาเลซ โดนยิงในนาทีที่ 32 เหมือนกัน นัดแดงเดือดที่แพ้ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกขึ้นนำนาทีที่ 16 เกมเชือด สาลิกาดง ก็โดน อเล็กซานเดอร์ อิซัค นักเตะใหม่ถอดด้ามของทีมเยือนยิงนำไปก่อนในนาทีที่ 38 และแม็ตช์ล่าสุดเลวร้ายถึงขนาดโดน เลอันโดร ทรอสซาร์ ยิงตั้งแต่นาทีที่ 4
ไม่น่าเชื่อว่าเกมรับที่เคยได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในยุโรปในช่วง 3 ปีหลังสุด ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากมายตั้งแต่การได้แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก, แชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย เมื่อปีที่แล้ว กลับกลายเป็นบ่อขนาดใหญ่และเป็นจุดอ่อนของทีมในฤดูกาลนี้
3 ปีที่ผ่านมา คล็อปป์ เชื่อมั่นในแผงแบ็คโฟร์ของเขามาตลอด สังเกตได้จากการที่ใช้ 4 นักเตะชุดเดิมในการไล่ล่าความสำเร็จ แม้จะมีการเสริมทัพบ้าง แต่ก็เป็นเพียงตัวสำรองที่เอาไว้หมุนเวียนในยามที่ต้องกรำศึกหนัก
มีช่วงที่อ่อนยวบไปบ้าง ก็ในซีซัน 2020-2021 ที่เซ็นเตอร์ตัวหลักได้รับบาดเจ็บพร้อม ๆ กัน แต่เมื่อทุกคนกลับมาพร้อมหน้า พวกเขาก็คือป้อมปราการที่ยากจะทำลายได้
โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แผงแบ็คโฟร์ของ ลิเวอร์พูล ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมมีลุ้นถึง 4 แชมป์ พวกเขามาในระบบที่น่าทึ่งด้วยการเล่นในแบบ high line ขึ้นดันสูงเพื่อช่วยเกมรุกและใช้การดักล้ำหน้าเพื่อเอาชนะกองหน้าที่มีความเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขามักจะโดนนักเตะประเภทนี้เล่นงานอยู่บ่อย ๆ
คล็อปป์ นั้นเชื่อมั่นในศักภาพรายบุคคลอยู่แล้ว แค่ใช้แท็คติกการเช็คล้ำหน้าภายใต้การบัญชาการของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เข้าไป ทุกอย่างก็ลงล็อค ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่สามารถเช็คออฟไซด์คู่แข่งได้มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซันก่อน
แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน เมื่อคุณแสดงความแข็งแกร่งออกมา คู่แข่งก็ย่อมต้องหาวิธีแก้ไข และในซีซันนี้ทีมอื่น ๆ ก็แก้เกมด้วยการไล่เพรสตั้งแต่แดนบน ไม่ปล่อยให้คู่เซ็นเตอร์อย่าง ฟาน ไดค์, โกเมซ หรือ มาติป ได้บิ๊วด์อัพบอลง่าย ๆ พร้อมกับการชิงจังหวะเพื่อเอาชนะกับดักล้ำหน้า และการเจาะที่ฟูลแบ็คทั้งสองข้าง ซึ่งก็ได้ผลอย่างดีเยี่ยมและเป็นที่มาที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เสียประตูให้กับคู่แข่งก่อนเสมอ
จริง ๆ แล้วเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น เพราะถ้าใครได้ดูเกมของ หงส์แดง เมื่อซีซันก่อน มีหลายครั้งที่พวกเขาเกือบเสียประตูให้กับคู่แข่งในช่วงต้นเกม แต่ยังโชคดีที่รอดตายมาได้ แต่ก็คาดว่าจุดนี้นี่เองที่ทำให้บรรดาผู้จัดการทีมหลาย ๆ คนนำไปใช้ในการแก้เกมในการเจอกับพวกเขาในฤดูกาลนี้
ในขณะเดียวกันสภาพร่างกายและจิตใจของนักเตะ ลิเวอร์พูล ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ไร้ความมุ่งมั่นและแรงกระตุ้น มันจึงนำมาซึ่งความผิดพลาดอย่างที่เราได้เห็น
หลายคนอาจแย้งว่าสาเหตุที่ทำให้กองหลัง ลิเวอร์พูล เล่นง่ายมาจากการไล่บอลในแดนกลางต่าง
หากนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าสังเกตกันดี ๆ เกมของพวกเขามักโดนแทงทะลุกลางมาตลอด ที่ช่วยเอาไว้ได้คือการอ่านเกมของ ฟาน ไดค์ และ มาติป ที่คอยรองบอลที่หลุดมาจากแผงมิดฟิลด์และฟูลแบ็คทั้งสองข้าง แต่เมื่อปีนี้โดนคู่แข่งโอเวอร์โหลดทั้งตรงกลางและด้านข้างเยอะขึ้น กลายเป็นว่าทั้งคู่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากเหมือนที่เคยเป็น
เกมกับ ไบรท์ตัน คือตัวอย่างที่ดี แผงแบ็คโฟร์ของ ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับจำนวนผู้เล่นฝั่งตรงข้ามมากกว่าทุกครั้ง ส่วนแผงกองกลางก็ไม่สามารถหยุดการขึ้นเกมของคู่แข่งได้ เกมริมเส้นที่เป็นทีเด็ดก็โดนฟูลแบ็คประกบติดทั้ง ซาลาห์ และ คาร์วัลโญ รวมทั้ง ดิอาซ ในครึ่งหลัง แค่นี้ก็หยุดบอลไดเร็คของเจ้าบ้านได้แล้ว
ถามว่าภาพรวมในเกมเมื่อคืนนี้ ลิเวอร์พูล เล่นดีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าพวกเขาแย่ในตอนเริ่มต้นและช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความผิดพลาด โดยเฉพาะในเกมรับ ส่วนตอนที่ไล่ตีเสมอและยิงขึ้นนำนั้นคือทีมที่เราเคยเห็นเมื่อปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและความเฉียบขาด แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวลก็ยังดีไม่เต็ม 90 นาที
ถ้ามองในแง่ดี การโดนนำ 2-0 แล้วกลับมาแซงเป็น 3-2 ก่อนจะโดนตีเสมอ 3-3 ได้ก็ถือว่าพวกเขายังพอมีทีเด็ดอยู่บ้าง เพียงแต่ คล็อปป์ และทีมงานต้องมานั่งขบคิดกันให้แตกฉานว่า ทำอย่างไรลูกทีมจึงจะไม่เสียประตูง่าย ๆ จนไม่สามารถเล่นเกมของตัวเองได้และต้องมาไล่ตามตีเสมอแบบนี้อีก
ยิ่งโปรแกรมต่อจากนี้จะต้องลงเล่น 12 นัดในรอบ 40 กว่าวันก่อนจะถึงฟุตบอลโลก
ถ้ายังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ฟอร์มไม่คงเส้นคงวาแบบนี้ต่อไป เผลอ ๆ ลุ้นท็อปโฟร์ยังลำบาก…..