ถ้าใครได้ดูเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ นาโปลี 4-1 เมื่อสัปดาห์ก่อน กับเกมที่ชนะ อาแจ็กซ์ 2-1 เมื่อคืนนี้จะเห็นตรงกันแทบ 100% ว่าพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
หลังจบเกมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับว่าทีมของเขาต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในขณะที่บทสัมภาษณ์ก่อนจะลงสนามนั้น นายใหญ่ชาวเยอรมันยืนยันว่า หงส์แดง จะเล่นในแบบที่ไม่เหมือนเดิม
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้นพลพรรค ลิเวอร์เบิร์ด ต่างพุ่งเข้าใส่ทีมเยือนทุกคน ไล่บีบ ไล่เพรส เข้าประชิดตัวแบบแมนมาร์กกิ้งทำเอานักเตะ อาแจ็กซ์ ไม่สามารถพลิกบอลหรือเล่นในเกมถนัดของตัวเองได้เลย
เกมของ ลิเวอร์พูล ดูดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับช่วงหลัง ในขณะที่การจัดทีมในเกมนี้เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ว่ายังไงซะ….เขาก็ยังยึดมั่นกับระบบ 4-3-3 เหมือนเดิม
เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมากหลังเกมที่แพ้ นาโปลี หลายคนอยากเห็นการเปลี่ยนระบบไปใช้ 4-2-3-1 ดูบ้าง เพื่อสร้างความแตกต่าง แต่ถ้าใครรู้นิสัยของ คล็อปป์ ดี จะรู้ว่าเขาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นซักเท่าไหร่
เกมนี้ก็เหมือนกัน นายใหญ่วัย 55 ยังคงจัด Information แบบที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่ทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็คือการได้นักเตะอย่าง โจเอล มาติป, ติอาโก้ อัลคันทารา และ ดิโอโก้ โชต้า กลับมาลงสนามกันอีกครั้ง
ดูในภาพรวมแล้วเหมือน ลิเวอร์พูล จะไม่ได้เปลี่ยนวิธีการเล่นอะไรเท่าไหร่นัก, คล็อปป์ ยังสั่งให้ลูกทีมเน้นเกมเพรสซิง พยายามครองบอลให้มากที่สุดและใช้ไดเร็กฟุตบอลเข้าทำจากทั้งแดนหลังและริมเส้น แต่ที่มันไม่ได้ผลในเกมที่ผ่าน ๆ มาเป็นเพราะคุณภาพของผู้เล่นที่ไม่สามารถตอบสนองแท็คติกและวิธีการเหล่านี้ได้
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ฟุตบอลของ คล็อปป์ ต้องใช้พละกำลังและความเข้าใจเกมสูงมาก คลาสของนักเตะต้องถึง ลองนึกภาพดูว่าถ้าเกมนี้ยังใช้ โจ โกเมซ และ เจมส์ มิลเนอร์ ลงสนามในฐานะนักเตะตัวจริง ฟอร์มการเล่นและผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
ดังนั้น การกลับมาของ มาติป, ติอาโก้ และ โชต้า จึงส่งผลต่อเกมของ ลิเวอร์พูล เมื่อคืนนี้อย่างเห็นได้ชัด เกมรับของพวกเขาดูไว้ใจได้ ความนิ่งและความชัวร์ของดาวเตะแคเมอรูนช่วยทำให้ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ไม่ต้องรับภาระเยอะเหมือนที่ผ่านมา และเจ้าตัวยังสามารถซ้อนช่วย เทรนท์ อาร์โนลด์ ในการหยุดยั้งเกมรุกคู่ต่อสู้ จะมีพลาดก็แค่ลูกที่เสียไปเท่านั้น แถมยังเติมขึ้นไปเป็นมิดฟิลด์ในช่วงเวลาที่ทีมต้องการสร้างสรรค์เกม และที่สำคัญที่สุดคือการโหม่งทำประตูชัยจนทำให้ได้รับรางวัล “แมนออฟเดอะแม็ตช์” ในเกมนี้ไปครอง
ตรงกลางสนามการมี ติอาโก้ คือความแตกต่างอย่างชัดเจน แข้งทีมชาติสเปนคือคนที่ยกระดับเกมในภาพรวมของทีม หงส์แดง ทั้งการกำหนดทิศทาง การขับเคลื่อน และการสร้างสรรค์เกมที่เราไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ใน 4-5 นัดที่ผ่านมา เขาทำให้ ลิเวอร์พูล คึกคักและเล่นฟุตบอลได้ดุดันขึ้นกว่าเดิมมาก
ในแดนหน้าแม้ว่า โชต้า จะไม่สามารถทำประตูได้ แต่ 1 แอสซิสต์ ของเขานั้นมีความหมายมาก เพราะมันคือการประสานงานที่ขาดหายไปในเกมรุก ประตูแรกที่เกิดขึ้นคือเครื่องหมายการค้าของ ลิเวอร์พูล บอลเริ่มจาก อลิสซอน มาถึง หลุยส์ ดิอาซ โหม่งชงมาเข้าเท้า โชต้า ก่อนจะไหลให้ โม ซาลาห์ ยิงขึ้นนำ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ
อีกคนที่ต้องปรบมือให้ดัง ๆ คือ คอสตาส ซิมิคาส ที่ในแม็ตช์นี้ทดแทนการหายไปของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้อย่างเนียนตา แม้ครึ่งแรกจะไม่หวือหวา แต่ในครึ่งหลังเจ้าตัวขึ้นมาเติมเกมด้วยความมั่นใจและมีการครอสบอลที่คอยสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับของ อาแจ็กซ์ ได้เป็นระยะ จนกระทั่งการเปิดลูกเตะมุมที่ช่วยให้ทีมทำประตูชัยได้
นอกจากการได้นักเตะตัวหลักกลับมาช่วยทีมแล้ว สิ่งที่เห็นชัดคือความกระตือรือร้นที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าของผู้เล่น ลิเวอร์พูล พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และทุ่มเทแบบเกินร้อย เพราะความพ่ายแพ้ต่อ นาโปลี เป็นเรื่องที่แฟนบอลรับไม่ได้ แม้แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ยังยอมรับว่ามันเป็นหนึ่งในเกมที่อัปยศที่สุดในชีวิตการเป็นกุนซือของเขา นักเตะเองก็คงคิดไม่ต่างกันและต้องการแก้ตัวในเกมนี้
ดูเหมือนจุดเด่นที่หายไปของ ลิเวอร์พูล จะกลับมาพร้อม ๆ กันในแม็ตช์นี้ พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งแทบทุกสถิติทั้งการครองบอล การบล็อคลูกยิง การเปิดลูกเตะมุม การครอสบอล และจำนวนการยิงประตู ภายใต้ความมุ่งมั่นและสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมในทำนองที่ว่า ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่ทุกอย่างดูดีขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ และชัยชนะในเกมนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ยังคงมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงกันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมิติการเล่นเกมรับของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต, ฟอร์มที่ยังไม่ลงตัวของ ดาร์วิน นูนเญซ, การเสียประตูแบบไม่น่าเสีย และคำถามที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่ม
แม้ชัยชนะในเกมนี้จะยังไม่ใช่เพอร์เฟ็คเกม แต่ก็หวังว่าจะเป็นการจุดประกายให้ ลิเวอร์พูล กลับมาคืนฟอร์มเดิมของตัวเองได้เสียที…