‘คาราบาว คัพ’ ถ้วยแห่งความหวังและอนาคต

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

ลิเวอร์พูล บรรลุเป้าหมายในการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ เป็นที่เรียบร้อย หลังเอาชนะ อาร์เซนอล ถึงถิ่นด้วยสกอร์ 2-0

การเข้าชิงชนะเลิศถ้วยใบนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ หลังจากที่เมื่อปี 2016 พาทีมไปเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก็ต้องอกหักพ่ายในการดวลจุดโทษชนิดที่น่าเสียดาย

แต่ถ้านับสถิติทุกรายการนับตั้งแต่ที่กุนซือชาวเยอรมันเข้ามารับงานคุมทีมเมื่อเดือนตุลาคม 2015 นี่คือการพา ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ ลีกคัพ (2016), ยูฟา ยูโรป้าลีก (2016), ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง (2018-2019) และ ฟีฟา คลับ เวิลด์คัพ (2020)

โดย 5 ครั้งที่ผ่านมา คล็อปป์ ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้ง คือ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 และ ฟีฟา คลับ เวิลด์คัพ 2020

ดูเหมือนว่าสถิติการเข้าชิงชนะเลิศของกุนซือชาวเยอรมันกับ ลิเวอร์พูล นั้นจะไม่ค่อยดีนัก แต่ในเมื่อเกมยังไม่เริ่มขึ้น เราก็คงต้องลุ้นกันต่อไป

เมื่อพูดถึงฟุตบอล ลีกคัพ ถ้วยใบนี้ถือว่าเป็น “น้องใหม่” ของฟุตบอลอังกฤษก็ว่าได้ เพราะเพิ่งจะเริ่มเตะกันเมื่อปี 1961 หรือประมาณ 61 ปีที่ผ่านมา โดยมี อิงลิชฟุตบอลลีก หรือ อีเอฟแอล เป็นผู้จัดมาตลอด ซึ่งในปัจจุบันกำหนดให้มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันได้ทั้งหมด 92 ทีม แบ่งเป็นมาจาก พรีเมียร์ลีก 20 ทีมและทีมจากดิวิชันต่าง ๆ อีก 72 ทีม ต่างจากฟุตบอล เอฟเอคัพ ที่เปิดกว้างให้สโมสรจากนอกลีกสามารถเข้ามาร่วมแข่งขันได้ซึ่งรวมแล้วกว่า 700 ทีม

ตลอด 61 ปีในประวัติศาสตร์ ลีกคัพ มี 2 สโมสรที่ทำสถิติได้แชมป์มากที่สุด นั่นคือ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทำได้ 8 สมัยเท่ากัน, โดยแชมป์ครั้งสุดท้ายของ หงส์แดง เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 ในขณะที่ ซิตี้ นั้นเพิ่งได้แชมป์มาเมื่อปีที่แล้ว

เดอะเร้ดส์ ถือว่าถูกโฉลกกับรายการนี้ก็ว่าได้ พวกเขาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศโดยนับรวมในซีซันล่าสุดก็จะเป็น 13 ครั้ง และถือเป็นสถิติสูงสุดอีกด้วย

ว่ากันถึงรูปเกม เมื่อคืนที่ผ่านมาแบบคร่าว ๆ พอจะเดาได้ว่าทั้ง 2 ทีมต้องส่งชุดที่ดีที่สุดลงสนาม แต่ที่ผิดคาดไปเล็กน้อยคือฝั่งทีมเยือนที่ใช้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ และเจ้าหนู เคด กอร์ดอน ได้โอกาสก่อน ทาคุมิ มินามิโนะ ในแผงกองหน้า

ในขณะที่ฝั่งเจ้าบ้านก็ค่อนข้างจัดเต็ม เอาจริง ๆ พวกเขาแทบจะฟูลทีมด้วยซ้ำ เพราะได้ มาร์ติน โอเดการ์ด และ เอมิล สมิธ โรว์ กลับมาจากการติดเชื้อโควิด  แถมมี โธมัส ปาร์เตย์ ที่กลับมาจาก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ รออยู่ที่ข้างสนาม นอกนั้นก็ตัวเก่งที่ใช้ในการลงเล่น พรีเมียร์ลีก เป็นประจำ

เกมในช่วงเกือบ 20 นาทีแรก, เป็นอะไรที่น่าอึดอัดสำหรับกองเชียร์ทีมเยือน เพราะ มิเกล อาร์เตต้า สั่งลูกทีมเพรสซิ่งหนักตั้งแต่แดนบน เล่นเอาเด็กของ คล็อปป์ ตั้งตัวกันแทบไม่ติด แต่พวกเขาก็เอาตัวรอดมาได้ และได้ประตูนำเร็วจาก ดิโอโก้ โชต้า ซึ่งทำให้เล่นง่ายขึ้น เกมเปิดขึ้น จนท้ายที่สุดแข้งโปรตุกีสก็ทำประตูที่ 2 ได้ในนาทีที่ 77 จากการวางยาวอันสุดสวยของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์อาร์โนลด์ พาทีมผ่านเข้าไปพบกับ เชลซี ที่ เวมบลีย์ ได้สำเร็จ

หลังจบเกม เทรนท์ ได้รับคำชมค่อนข้างมากจากการทำ 2 แอสซิสต์ หลังจากในเกมเลกแรกโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่สามารถสร้างประโยชน์ในเกมรุกได้ ส่วนอีกคนหนีไม่พ้น โชต้า ที่ เยอร์เก้น คล้อปป์ ถึงขนาดยกย่องให้เป็นกองหน้าระดับโลกไปแล้วจากการซัดเบิ้ลพาทีมเข้าชิง

ที่ฟอร์มไม่ค่อยดีเห็นจะเป็น “น้องเคด” ที่ได้ลงเป็นตัวจริงอย่างสุดเซอร์ไพรส์ ซึ่งนายใหญ่เมืองเบียร์ให้เหตุผลว่าที่ส่งลงเพราะน้องมันซ้อมดี เข้าตา เลยได้โอกาสก่อน แต่ก็เชื่อว่าเจ้าตัวคงได้ประสบการณ์ไปเพียบจากเกมนัดนี้

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

อย่างไรก็ตาม, การได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของ ลิเวอร์พูล ในครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นถ้วยใบเล็กที่สุด แต่ในแง่ของความสำเร็จมันคือสิ่งที่จับต้องได้ ท่ามกลางสถานการณ์การลุ้นแชมป์ในฟุตบอลลีกที่ดุเหมือนจะโดนทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ นี่คือถ้วยที่พวกเขาพอจะมีความหวัง ขอแค่อีกเกมเดียวเท่านั้น

นอกจากการมีถ้วยติดไม้ติดมือแล้ว ในแง่ของการทำทีม มันทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถใช้ประเมินอนาคตของนักเตะตัวสำรองและพวกแข้งดาวรุ่งที่ได้รับโอกาส เพราะหากดูสถิติการลงเล่นในรายการนี้หลังการเข้าชิงเมื่อปี 2016,  หงส์แดง ทำได้ดีที่สุดคือรอบรองชนะเลิศเมื่อปี 2017 ที่พลาดท่าโดน เซาแธมป์ตัน เขี่ยตกรอบ นอกนั้นก็ตกรอบแรก 2 ซีซันติดต่อกัน (2017-2018 และ 2018-2019) เข้าถึงรอบ 16 ทีม 1 ครั้ง (2019-2020) และซีซันที่แล้วก็โดน อาร์เซนอล เขี่ยตกรอบ 32 ทีมสุดท้าย ด้วยการดวลจุดโทษ

นั่นหมายความว่าในปีนี้บรรดานักเตะสำรองของ ลิเวอร์พูล มีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมทั้งดาวรุ่งก็ยังสามารถช่วยทีมได้มากขึ้น ทำให้ขุมกำลังของทีมในภาพรวมมีคุณภาพมากขึ้น

ไฮไลท์ลิเวอร์พูล, ลิเวอร์พูล, Liverpool

ผลพวงจากผลงานในนัดนี้น่าจะทำให้ คล็อปป์ วางแผนเรื่องการบริหารจัดการผู้เล่นและการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ได้พอสมควร เพราะมีหลายคนน่าจะได้ไปต่อ โดยเฉพาะพวกดาวรุ่งที่ผลัดกันทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ไทเลอร์ มอร์ตั้น, เคอร์ติส โจนส์, และ เคด กอร์ดอน

ดังนั้น, คาราบาวคัพ ปีนี้ ไม่ใช่แค่การลุ้นแชมป์เท่านั้น….แต่มันยังพิสูจน์ให้เห็นถึงแนวโน้มอนาคตที่ดีของสโมสรได้อีกด้วย

ชอบบทความนี้แชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยนะครับ
Scroll to Top