แม้ว่าศึก ฟุตบอลโลก 2022 ได้ออกสตาร์ทนัดแรกกันไปแล้วเมื่อคืนนี้ แต่เชื่อว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล หลายคนก็ยังคงติดตามข่าวการขายสโมสรของกลุ่ม เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป หรือ FSG อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจากที่หนึ่งในผู้บริหารอย่าง ทอม เวอร์เนอร์ ได้ออกมาส่งสัญญาณบางอย่าง
“เรากำลังพิจารณาเรื่องการขาย แต่ไม่ได้เร่งรีบ ไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัด เท่าที่รู้ตอนนี้เราดำเนินธุรกิจไปตามปกติ” เวอร์เนอร์ กล่าวผ่านทาง บอสตัน โกลบ สื่อที่ จอห์น เฮนรี เป็นเจ้าของ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ก่อน ซึ่งชัดเจนว่าจากที่คาดการณ์กันในทีแรกว่าพวกเขาอาจจะแค่มองหานักลงทุนเพิ่มเติม แต่ตอนนี้เป้าหมายคือ “การขายสโมสร” แล้ว
สอดคล้องกับคำพูดของ แซม เคนเนดี้ หุ้นส่วนของ FSG ที่ได้ออกมายอมรับว่า “มีความสนใจมากมาย” ในการซื้อ ลิเวอร์พูล ในขณะที่บทบาทของ ไมค์ กอร์ดอน ผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุดรองลงมาจาก จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี ก็ถูกปรับเปลี่ยนจากที่เคยได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านฟุตบอล กลายเป็นคนที่คอยอำนวยความสะดวกเรื่องการซื้อขาย รวมทั้งประเมินศักยภาพของผู้ที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ในอนาคตด้วย
ความเคลื่อนไหวในส่วนของบรรดาผู้บริหารทำให้ดูเหมือนว่าการโปรเจ็คการขาย ลิเวอร์พูล จะจริงจังและใกล้ความเป็นจริงขึ้นเรื่อย ๆ เหลือเพียงแต่ว่า “ใคร” จะผ่านเข้ารอบเป็นคนสุดท้ายเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเจ้าของคนใหม่แค่นั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ดีลจะยังไม่ลุล่วง แต่ก็เริ่มมีการพูดถึงอนาคตและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ กันบ้างแล้ว รวมทั้งความคาดหวังที่ เดอะค็อป อยากจะให้เกิดขึ้นเมื่อ FSG ถอยฉากออกไป
ความกล้าได้กล้าเสียในตลาดซื้อขาย
นี่คือสิ่งที่แฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุด เพราะที่ผ่านมา FSG นั้น แม้จะมีการลงทุนภายใต้ความสมเหตุสมผล แต่ในยุคที่เจ้าของทีมต่าง ๆ พร้อมที่จะทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงผู้เล่นที่ดีที่สุดเข้ามาสู่ทีม ทำให้นโยบายเดิม ๆ นั้น ดูจะไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป
ความคาดหวังของ เดอะค็อป โดยรวมแล้วอาจจะไม่ต้องการพวกใจป้ำอย่างเศรษฐีน้ำมันจากตะวันออกกลางเหมือนอย่างเจ้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, พวกเขาขอแค่คนที่ให้ความสำคัญกับสโมสรพอ ๆ กับที่ จอห์น เฮนรี ได้แสดงออกมาตลอด 12 ปี แต่ก็ต้องมีความพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเติมมากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อการพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่องและรักษามาตรฐานไว้สู้กับทีมใหญ่ ๆ ได้
สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการซื้อขายนักเตะโดยสิ้นเชิง เพราะการรักษาสมดุลด้านบัญชีนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่มันต้องเพิ่มดีกรีความเข้มข้นในการตลาดซื้อขายด้วย เพราะที่ผ่านมามันได้พิสูจน์แล้วว่า วิธีการเดิม ๆ อย่างเดียว ใช้ไม่ได้ผลกับการต้องไปสู้รบปรบมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซนอล หรือแม้ระทั่งเศรษฐีใหม่อย่าง นิวคาสเซิล
นโยบายต่อสัญญานักเตะที่โหดขึ้น
ลิเวอร์พูล มีเรื่องสัญญาผู้เล่นที่ต้องตัดสินใจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หรืออย่างเร็วก็คือ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้ เพราะพวกเขากำลังเสี่ยงที่จะเสีย อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน แบบไม่ได้อะไรกลับมาเลย
หลายคนมองว่าที่ผ่านมา เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานควรเล่นบทโหดมากกว่านี้ พวกเขาไม่ควรปล่อยผู้เล่นออกจากทีมแบบไม่มีค่าตัวอยู่ทุกฤดูกาล และควรเดินเรื่องหาคนเข้ามาแทนที่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเป็นการเซฟเงินในคลังไปในตัว เช่นในกรณีของ จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม ที่ถูกปล่อยไปแบบฟรี ๆ ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แต่ต้องใช้เงินราว 30 ล้านปอนด์เพื่อไปซื้อ ติอาโก้ อัลคันทารา มาร่วมทีม
แน่นอนว่าเมื่อดูจากผลงานแล้ว ฟีร์มีโน ควรจะได้รับการต่อสัญญาใหม่ แต่ในอีก 2 รายอย่าง เกอิต้า และ อ็อกซ์เหลด นั้น อย่างน้อย ลิเวอร์พูล ควรได้เงินกลับมาซักก้อนเพื่อต่อยอดในการเสริมทัพ และควรปรับเปลี่ยนนโยบายการต่อสัญญากับผู้เล่นอายุเยอะไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นการลดค่าเฉลี่ยอายุของผู้เล่นภายในทีม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการบ้านที่เจ้าของใหม่ต้องทบทวน
การตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของ เยอร์เก้น คล็อปป์
เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกมายืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสโมสรครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อตำแหน่งของเขา และเจ้าตัวก็ประกาศว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานกับทีมต่อไปเหมือนเดิม
นายใหญ่ชาวเยอรมันมีสัญญาคุมทีมจนถึงปี 2026 ซึ่งเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์และต้องปรบมือให้กับ FSG ที่มอบของขวัญอันล้ำค่าให้กับแฟนบอล แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า หลังการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมแล้วมันจะยังเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิม
ตอนที่ ท็อดด์ โบห์ลี เข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี เขาก็ยืนยันว่า จะทำงานร่วมกับ โธมัส ทูเคิล ต่อไป แต่ยังไม่ทันไร อดีตกุนซือ เปแอชเช ก็โดนไล่ออกจากผลงานที่ไม่คงเส้นคงวา ซึ่งหาก คล็อปป์ ยังไม่สามารถพาทีมพ้นจากวิกฤติภายใต้เจ้าของใหม่ได้ ก็ไม่มีอะไรการันตีเหมือนกันว่าเขาจะได้อยู่ต่อ
แม้ในอีกทางหนึ่ง เจ้าของใหม่อาจจะแสดงความเชื่อมั่นและหนุนหลังนายใหญ่วัย 55 ปีอย่างเต็มที่ แต่การมองหาตัวตายตัวแทนก็จะเป็นหน้าที่ของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งการเซอร์ไพรส์ด้วยการต่อสัญญากันอีกรอบ…ก็ดูจะมีความเป็นไปได้เช่นกัน