หลังจากที่ต้องถ่างตารอคอยกันมากว่า 10 ปี (ประชด!!) สโมสรลิเวอร์พูลก็ทำการเปิดตัวดาวยิงค่าตัวสถิติสโมสรอย่าง ดาร์วิน นูเญซ อย่างเป็นทางการเสียที ทำเอาแฟนบอลหงส์แดงต่างยินดีปรีดากันยกใหญ่
และประเด็นที่มีการพูดถึงกันต่อมาอย่างมากมาย คือ หลังจากนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะใช้งานกองหน้าชาวอุรุกวัยอย่างไร และต้องมีการเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นหรือไม่
เมื่อดูจากคุณสมบัติและความสามารถของ นูเญซ จุดเด่นของเขาคือการเล่นเป็นกองหน้าตัวกลางหรือ Center Forward ซึ่งแตกต่างจากการเป็นกองหน้าตัวเป้าหรือ Target Man ตรงที่เจ้าตัวสามารถทำหน้าที่ประสานงานกับกองกลาง ฉีกออกข้างเพื่อรับบอล หรือลงมาล้วงบอลเพื่อสร้างเกมร่วมกับเพื่อนร่วมทีม และยิงประตูได้อย่างเฉียบคม
ด้วยความหลากหลายเช่นนี้อาจทำให้หลายคนคิดว่า คล็อปป์ น่าจะต้องหาระบบที่เข้ามาสนับสนุนการเล่นของ นูเญซ เพื่อให้ใช้งานนักเตะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เพราะการเซ็นสัญญานักเตะใหม่ในแต่ละครั้งสโมสรจะพิจารณาถึงความเหมาะสมและการเล่นเข้าระบบกับทีมมาก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม, ก็ไม่ได้หมายความว่านายใหญ่ชาวเยอรมันจะไม่ต้องเปลี่ยนแผนหรือแท็คติกใด ๆ
ตอนที่ย้ายมามาคุม ลิเวอร์พูล ใหม่ ๆ, เยอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มต้นด้วยแผน 4-2-3-1 ที่เคยใช้กับ ดอร์ทมุนด์ ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนจนมาประสบความสำเร็จด้วยระบบ 4-3-3 อย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน
ความแตกต่างของ 4-2-3-1 และ 4-3-3 อยู่ที่การวางตำแหน่งและหน้าที่ของแผงมิดฟิลด์ ซึ่งในแผนแรกดูเหมือนว่ากองกลาง 2 คนจะยืนต่ำและเน้นที่เกมรับและเกมกลางสนามไปพร้อม ๆ กับการสนับสนุนแนวรุก 3 คนด้านหน้า ในขณะที่หน้าที่ของมิดฟิลด์ 3 คนในแผนที่ 2 จะทำทุกอย่างเพื่อนซัพพอร์ทแนวรุก 3 ตัวบนไปจนถึงการดร็อปตัวเองลงมาด้านล่างเพื่อช่วยเกมรับ ซึ่งบางจังหวะก็เหมือนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับคล้ายแผนแรก แต่ก็ไม่ได้เล่นแบบนั้นตลอดทั้งเกม
ปัจจุบัน คล็อปป์ ใช้ระบบ 4-3-3 กับ ลิเวอร์พูล จนนักเตะเล่นได้อย่างไหลลื่น มองตาก็รู้ใจ ใครลงไปก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร จุดแตกต่างมีเพียงแค่เรื่องความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคน แต่โดยภาพรวมแล้วทุกคนมีหน้าที่ที่ชัดเจนและเล่นกันเป็นระบบ
แต่การมาของ นูเญซ อาจจะทำให้ ลิเวอร์พูล มองเห็นประโยชน์ของการกลับไปเล่นในระบบ 4-2-3-1 เหมือนยุคต้น ๆ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เพราะนักเตะมีความโดดเด่นในการยิงประตูในฐานะของกองหน้าตัวกลาง ในขณะที่ 3 ประสานแดนหน้าไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ดิอาซ, ดิโอโก้ โชต้า และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็สามารถดร็อปตัวเองลงมาอยู่หน้ากรอบเขตโทษของคู่ต่อสู้พร้อมสร้างสรรเกมรุกทำหน้าที่เปิดป้อนให้แข้งอุรุกวัยผลิตสกอร์ได้ด้วย
มิดฟิลด์ 2 คนตรงกลางสนามสามารถสลับกันเล่นได้ทั้ง ฟาบินโญ, ติอาโก้ อัลคันทารา และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมทั้งยังมีตัวสำรองอย่าง นาบี เกอิต้า, เจมส์ มิลเนอร์, เคอร์ติส โจนส์ คอยสลับสับเปลี่ยนอย่างเหลือเฟือ
นั่นหมายความว่า คล็อปป์ อาจไม่จำเป็นต้องซื้อกองกลางเพิ่มอย่างที่ใครหลายคนแนะนำก็ได้
ระบบนี้จะส่งให้ นูเญซ ใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งคุณสมบัติการยิงประตูได้อย่างเฉียบคมเช่นนี้ทำให้แฟนบอล บาเยิร์น มิวนิค หลายคนออกมาบ่นสโมสรว่าทำไมปล่อยให้ หลุดมือไปได้ ในขณะที่พวกเขากำลังจะเสีย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อยู่มะรอมมะร่อ
ต้องไม่ลืมเหมือนกันว่าสมัยที่ คล็อปป์ พา ดอร์ทมุนด์ ครองความยิ่งใหญ่ใน บุนเดสลีกา 2 ปีติด หัวใจสำคัญของทีมเสือเหลืองในตอนนั้นคือกองหน้าตัวกลางในระบบ 4-2-3-1 ซึ่งรบหน้าที่โดย เลวานดอฟสกี้ คนดีคนเดิม ก่อนจะโดน บาเยิร์น สอยไปล่าตาข่ายและพาทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์เมืองเบียร์ 10 สมัยติดต่อกันชนิดที่ใครก็สู้ไม่ได้จนปัจจุบัน
เมื่อมองกลับมาที่ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็สามารถใช้งานดาวยิงวัย 22 ปีได้แบบนั้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม, ระบบดังกล่าวอาจจะเป็นเพียงออปชันเสริม เพราะตลอดเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา เยอร์เก้น คล็อปป์ ยึดมั่นกับแผน 4-3-3 มาตลอด และน่าจะใช้งาน นูเญซ ในแบบผสมผสานกันระหว่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน และ ดิโอโก้ โชต้า ในบทบาท Center Forward โดยขนาบข้างด้วย ดิอาซ และ ซาลาห์
สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ ลิเวอร์พูล จะได้ประโยชน์จากลูกกลางอากาศด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งอาวุธชั้นดีในเกมรุกของ หงส์แดง ทดแทนการหายไปของ ซาดิโอ มาเน และ ดิว็อค โอริกี ได้เป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเกมรุก และมีเวลาไปโฟกัสกับการเสริมตำแหน่งอื่นได้
ด้วยคุณสมบัติอันรอบด้านของ นูเญซ บวกกับอายุแค่ 22 ปี ถือว่ายังมีเวลาเหลือเฟือที่ คล็อปป์ จะปลุกปั้นให้เป็นยอดกองหน้าของยุโรปในอนาคต
ต่อจากนี้ ก็เหลือแค่การพิสูจน์ตัวเองว่าจะสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดนั้นได้หรือไม่ และคุ้มค่ากับเงินที่ทุ่มไปกว่า 100 ล้านยูโรเพียงใด…