เชื่อว่าหลังจบที่ ซิตี้ กราวน์ แฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนใหญ่คงไม่คาดคิดว่าทีมของพวกเขาจะเป็นฝ่ายประสบความปราชัยในชนิดที่ไม่ได้เหนือกว่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แบบนี้
ย้อนกลับไปตอนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ประกาศ 11 ตัวจริงก่อนเกมประมาณ 1 ชั่วโมง เราพอเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่ต้องส่ง 3 ดาวรุ่งอย่าง เคอร์ติส โจนส์, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ลงเล่นพร้อม ๆ กันนั้น เนื่องจากทีมกำลังประสบปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ไม่คาดฝันในกรณีของ ดาร์วิน นูนเญซ และ ติอาโก้ อัลคันทารา
อันที่จริงแข้งทีมชาติสเปนถูกกำหนดไว้ว่าจะได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนี้ แต่เจ้าตัวกลับมีอาการติดเชื้อที่หูในคืนก่อนเตะ ทำให้โผต้องเปลี่ยนก่อนเกมไม่กี่ชั่วโมง นายใหญ่ชาวเยอรมันจึงตัดสินใจส่ง โจนส์ ลงสนามแทนที่
ส่วน นูนเญซ นั้นมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ ทำให้เขาถูกถอดชื่อออกเช่นกัน ผลการจัดทีมจึงออกมาในแบบที่เราได้เห็น ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือน คล็อปป์ จะประมาท ฟอเรสต์ แต่เชื่อเถอะว่า ผู้จัดการทีมทุกคนก็อยากจะมีนักเตะดี ๆ ลงสนามทุก ๆ เกมกันทั้งนั้น
ดังนั้น 11 ตัวจริงที่อยู่ในสนามกับ ฟอเรสต์ จึงถือเป็นทีมที่ดีที่สุดในมือของอดีตผู้จัดการทีม ดอร์ทมุนด์ ก็ว่าได้
หากแต่ทางเจ้าบ้านก็ไม่ได้ชะล่าใจ พวกเขารู้ดีว่า ลิเวอร์พูล ก็คือ ลิเวอร์พูล ซึ่งไม่ใช่ว่า สตีฟ คูเปอร์ จะเกรงกลัวซะทีเดียว แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่า ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถคว้า 3 แต้มจาก หงส์แดง ได้
‘เจ้าป่า‘ มาในแผนที่เราพอจะคาดการณ์ได้ พวกเขาใช้ 4-5-1 โดยทิ้ง ไทโว อโวยีนี เด็กเก่า ลิเวอร์พูล ที่ไปแจ้งเกิดกับ ยูเนียน เบอร์ลิน ก่อนจะถูกซื้อกลับมายัง พรีเมียร์ลีก เมื่อช่วงซัมเมอร์ พร้อมด้วยเพลย์เมคเกอร์อดีตเด็กผีอย่าง เจสซี ลินการ์ด ที่คอยเชื่อมเกมรุก นอกนั้นก็แพ็คกันให้แน่นแล้วรอเกมส่วนกลับ
นี่คือวิธีเล่นง่าย ๆ ที่บรรดาทีมรองบ่อนใช้เมื่อเจอกับแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งถ้าเป็น 2-3 ปีก่อนมันอาจจะได้ผลเพียงแค่ 60-80 นาที ก่อนจะโดนความมหัศจรรย์ของ ซาลาห์ หรือ มาเน ยิงช่วงท้ายเกม แต่ในฤดูกาลนี้ ทุกทีมที่เล่นแบบนี้สามารถควักแต้มจาก หงส์แดง ได้ทั้งนั้น ไล่มาตั้งแต่ ฟูแลม, คริสตัล พาเลซ และ ไบรท์ตัน หรืออาจจะรวม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าไปด้วยก็ได้
รูปเกมที่ออกมาตลอด 55 นาทีเป็นเช่นนั้นจริง ๆ, ทีมของ คล็อปป์ ดาหน้าบุก ได้ครองบอลมากกว่า ซึ่งเป็นไปตามที่ คูเปอร์ คิดเอาไว้ เขาสั่งให้ลุกทีมรับแน่นและรอสวนกลับ และเมื่อตัดบอลได้ไม่ว่าจากจุดใดของสนาม ตัวเร็ว ๆ อย่าง ลินการ์ด, กิ๊กส์-ไวท์ และ อโวยีนี ก็พร้อมจะเล่นงานกองหลังทีมเยือนทันที
ในช่วง 55 นาทีของ ลิเวอร์พูล จึงครองบอลได้มากกว่า 70% แต่หาโอกาสเนื้อ ๆ เน้น ๆ ไม่ได้เลย แถมความผิดพลาดในนาทีต่อมาของ โจ โกเมซ เพียงครั้งเดียว ยังส่งผลต่อประตูชัยของ ฟอเรสต์ ด้วย
จังหวะดังกล่าวไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ “โจโก” ซึ่งครองบอลอยู่ครึ่งสนามและกำลังม้วนหาเพื่อนร่วมทีมกลับปล่อยให้นักเตะเจ้าบ้านเข้ามากดดันและฉกบอลไปได้ สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องเป็นคนทำฟาวล์และทีมต้องเสียฟรีคิก
และสิ่งไม่น่าเชื่ออีกอย่างก็คือนักเตะ ลิเวอร์พูล ป้องกันลูกนี้ได้หละหลวมมากจนปล่อยให้มีการซ้ำดาบ 2 ของ อโวยีนี เป็นประตู ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับทีมใหญ่ขนาดนี้
แต่นี่แหละคือฟุตบอล ในเกมที่ต่างฝ่ายต่างยังทำอะไรกันไม่ได้ สิ่งที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบก็มาจากความผิดพลาดส่วนบุคคล ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันต้องเกิดกับ ลิเวอร์พูล เสียเป็นส่วนใหญ่
35 นาทีที่เหลือ แม้ คล็อปป์ จะพยายามแก้เกมด้วยการส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน รวมทั้ง เทรนท์ อาร์โนลด์ ลงมาเสริมมิติเกมรุก แต่ก็เท่านั้นเพราะทุกอย่างมันเข้าทาง ฟอเรสต์ หมดแล้ว โดยเฉพาะ ดีน เฮนเดอร์สัน ที่ดันผีเข้าในช่วงท้ายเกม
หลังจบเกมสื่อหลาย ๆ สำนักให้คะแนนลูกทีมของ คล็อปป์ ต่ำกว่า 5 แทบจะครึ่งทีม มันเป็นวันที่พวกเขาทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานเกือบทุกตำแหน่ง มีเพียง อลิสซอน เบ็คเกอร์ เพียงคนเดียวที่ยังรักษาฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของตัวเองเอาไว้ได้
3 แข้งดาวรุ่งอย่าง โจนส์, คาร์วัลโญ และ เอลเลียต โดนวิจารณ์หนักพอ ๆ กับ โจ โกเมซ ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกกับเราว่าแผนการณ์ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่วางเอาไว้เมื่อช่วงซัมเมอร์นั้นผิดพลาดมาแต่ต้น
จริงอยู่ที่ปัญหาอาการบาดเจ็บเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ตกต่ำดำดิ่งแบบนี้ แต่อีกส่วนก็ต้องหันไปมองแนวทางการทำทีมของนายใหญ่ชาวเยอรมันด้วย จะด้วยเพราะความชะล่าใจหรือมั่นใจเกินไปก็ไม่อาจรู้ได้ แต่การไม่เสริมทัพแดนกลางเพิ่มเติมถือเป็นความผิดพลาดมหันต์ที่กลับมาเล่นงานทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์
การที่แฟนบอลบางส่วนออกมาก่นด่าฟอร์มของ 3 ดาวรุ่ง พร้อมกับตำหนิที่บอสวัย 55 ไม่หาตัวที่ดีกว่านี้ นั่นคือเรื่องจริงที่เขาต้องยอมรับ
แผนการเล่นและแท็คติกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั้นไม่มีใครสงสัยว่ามันไม่ดี แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่าการที่จะทำให้มันประสบความสำเร็จก็ต้องมาจากศักยภาพของนักเตะที่สามารถตอบสนองได้ด้วย
ลิเวอร์พูล ได้ครองบอลมากกว่าก็จริง แต่พวกเขามีแผงกองกลางที่ไร้ซึ่งการสร้างสรรค์เกม ไม่มีการแทงบอลเข้าพื้นที่อันตราย ไม่ปีกที่สามารถพาบอลเข้าสู่กรอบเขตโทษเพื่อสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม พอเสียบอลในเกมบุกก็โดนโต้กลับ ซึ่งมันเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาในเกมล่าสุด เอาเข้าจริงแล้วจะไปโทษพวกดาวรุ่งก็ไม่ได้ทั้งหมด เพราะตัวมีอยู่แค่นั้นและต้องลงเล่นให้ดีที่สุด แต่ก็ทำได้เท่าที่เห็น
เกมแบบนี้ทำให้เรานึกไปถึงนักเตะอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ และ ดิว็อค โอริกี้ ที่พร้อมจะลงสนามสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่ง ณ เวลานี้ ลิเวอร์พูล ไม่มีนักเตะแบบนั้นเหลืออยู่เลย
เป็นอีกครั้งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีการบ้านและปัญหาที่ต้องแก้ในมือเพียบ และน่าแปลกใจที่มันเป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีกวนไปวนมากลายเป็นลูปของ ลิเวอร์พูล ไปแล้วในซีซันนี้
4 เกมที่เหลือก่อนบอลโลก ลิเวอร์พูล ต้องบินไปเจอกับ อาแจ็กซ์ ในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก และในเกมลีกก็เรียงคิวด้วย ลีดส์ (เหย้า), สเปอร์ส (เยือน) และ เซาแธมป์ตัน (เหย้า)
นายใหญ่เมืองเบียร์ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทีมแย่ไปกว่านี้ และเดือนมกราคมต้องเป็นเวลาที่ทุ่มเงินเพื่อดึงนักเตะที่ใช้ได้เลยเข้ามาสู่ทีมเสียที ไม่ว่าต้องจ่ายมากขนาดไหนก็ตาม เพราะขนาด ฟอเรสต์ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นกลับมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ยังยอมจ่ายเงินจำนวน 170 ล้านปอนด์เพื่อเป้าหมายเพียงแค่การรอดตกชั้นเท่านั้น
เมื่อความผิดพลาดมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องแก้ตัวและเดินหน้ากันใหม่เสียที…