ลิเวอร์พูล และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในเวลานี้หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าพวกเขากำลังมีปัญหาเรื่องการขาดขุมกำลังจำนวนมากจากอาการบาดเจ็บที่รุมเร้ามาตลอดนับตั้งแต่พรี-ซีซันเป็นต้นมา และมันส่งผลอย่างชัดเจนในเกมกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันเสาร์
แม้บรรดานักเตะที่พร้อมลงสนามเท่าที่ดูแล้วหลายคนก็มีสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยพร้อมและมีปัญหาเรื่องความฟิตพออย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเกิดจากการได้นับบาดเจ็บหรือการที่ต้องลงสนาม 3 เกมในรอบ 1 สัปดาห์ก็ตาม
คล็อปป์ พูดถึงเรื่องนี้หลังที่พา หงส์แดง บุกพ่าย ฟอเรสต์ ว่า
“มันเป็นอะไรที่เข้มข้นมาก การลงสนาม 3 เกมใน 6 วันและจำนวนนักเตะที่มีอยู่อย่างจำกัด มันชัดเจนมากว่า เราไม่สามารถโชว์ฟอร์มในเกมนี้ได้เลย (กับ ฟอเรสต์) เรารู้ว่ามันจะเป็นเกมที่ยากลำบาก เราลงเล่นในวันเสาร์และวันพุธ และเล่น 3 เกมล่าสุดในรอบ 6 วัน ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้เรื่องเลวร้ายมันก็สามารถเกิดขึ้นได้”
จะว่าไปสิ่งที่นายใหญ่ชาวเยอรมันพูดก็น่าเห็นใจไม่น้อย และหากตั้งสติดี ๆ เราจะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะเมื่อพิจารณาอีก 19 สโมสรไม่มีทีมใดสามารถเก็บชัยชนะได้ 100% จากการลงเล่นติด ๆ กัน มีเพียง ฟูแลม, เลสเตอร์ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล ที่ทำได้ดีที่สุดคือเก็บได้ถึง 7 คะแนนจาการชนะ 2 เสมอ 1
แม้แต่ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ไม่เว้น เดอะกันเนอร์ส สะดุดเสมอกับ เซาแธมป์ตัน ในเกมล่าสุด ในขณะที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา บุกมาพ่ายที่ แอนฟิลด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ด้วยโปรแกรมที่อัดแน่นและฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้า ทำให้หลาย ๆ ทีมที่มีนักเตะกำลังลุ้นไปเล่นที่กาต้าร์อาจจะโชว์ฟอร์มได้ไม่เต็มที่ จะด้วยการกลัวได้รับบาดเจ็บหรือความเหนื่อยล้าก็แล้วแต่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดต่อทุกทีม
ลิเวอร์พูล เองก็โดนเล่นงานจากปัจจัยเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ เองต้องปวดหัวทุกครั้งในการจัด 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดลงสนาม
เกมที่ออกไปเยือน ฟอเรสต์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง การมีนักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่เต็มทีมทำให้นายใหญ่ หงส์แดง จำเป็นต้องใส่ชื่อผู้เล่นดาวรุ่งและใส่ชื่อแข้งที่ยังไม่สมบูรณ์ดีอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เหลด-แชมเบอร์เลน ในลิสต์รายชื่อสำรอง เช่นเดียวกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงเล่นมาติด ๆ กันก็ไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง
คล็อปป์ จึงต้องเข็นเจ้าหนู ฟาบิโอ คาร์วัลโญ และ เคอร์ติส โจนส์ ที่ได้โอกาสลงเล่นในเกมกับ กลาสโกว เรนเจอร์ส มาแล้วประเดิมใน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรก ในขณะที่ตำแหน่งอื่น ๆ ยังพยายามใช้ผู้เล่นตัวหลักแทบจะชุดเดิม
การจัดทีมของบอส ลิเวอร์พูล ออกมาในรูปแบบนี้เสมอ เขาจะมองไปที่คู่ต่อสู้ก่อนแล้วจึงเลือกว่านักเตะคนใดจะได้ลงเล่น ซึ่งส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในแดนกลาง แต่พอไม่มีตัวเลือกมากนัก มันจึงส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีม การทำเกมไม่ไหลลื่น ไม่มีความแน่นอน จนกระทั่งนำมาซึ่งความพ่ายแพ้อย่างที่เราได้เห็น
คล็อปป์ เองก็คงพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วกับการจัดผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนาม หากเป็นเมื่อฤดูกาลที่แล้วเราอาจได้เห็น ทาคุมิ มินามิโนะ หรือ ดิว็อค โอริกี ลงเล่นในแดนหน้าบ้าง หรือเห็น นาบี เกอิต้า ประเดิมตัวจริง แต่ในปีนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
สิ่งที่ คล็อปป์ ทำได้ คือการรักษา ‘Shape ของทีม’ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทีมที่ดีที่สุดในตอนนี้ของเขาจึงเป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ได้ลงเฝ้าเสาทุกนัก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อาร์โนลด์ ก็ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ อยู่ดีแม้จะฟอร์มดร็อปไปบ้าง ในขณะที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ปักหลักอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค โดยมี โจเอล มาติป, อิบราฮิมา โคนาเต้ และ โจ โกเมซ หมุนเวียนกันมา ซึ่งหากต้องการความอุ่นใจที่สุดก็น่าจะเป็นการเล่นคู่กับ 2 รายแรก
ส่วนแดนกลาง จากการที่เปลี่ยนจาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 ติอาโก้ อัลคันทารา จึงกลายเป็นตัวหลักและ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คือคู่หูที่ไว้ใจได้มากที่สุด ในขณะที่ ฟาบินโญ ถูกลดบทบาทให้ลงสำรองสลับกัน
แนวรุกด้านซ้ายเป็นหน้าที่ของ หลุยส์ ดิอาซ ด้านขวาเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่วนตรงกลางสามารถเป็นได้ทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน และ ดิโอโก้ โชต้า แต่ก็มี ฮาร์วีย์ เอลเลียต คอยสอดแทรกอยู่บ้าง ในขณะที่หน้าเป้าต้องเป็น ดาร์วิน นูนเญซ เท่านั้นในเวลานี้
ซึ่งนี่คือ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดในมือ คล็อปป์ ในฤดูกาลนี้
หากแต่ในเกมที่แพ้ ฟอเรสต์ เมื่อวันเสาร์มีเพียง อลิสซอน, ฟาน ไดค์, ร็อบโบ้, ฟีร์มีโน และ ซาลาห์ เท่านั้นที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ส่วน เอลเลียต ถูกส่งลงมาขัดตาทัพ เทรนท์ และ เฮนเดอร์สัน ทำได้เพียงมีชื่อเป็นตัวสำรอง ที่เหลือคือบาดเจ็บทั้งหมด
ดังนั้น การรักษาบรรดาแข้งตัวจริงเหล่านี้ให้สามารถลงเล่นร่วมกันในทุกสัปดาห์มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม, ในเกมที่จะบุกไปเยือน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มคืนวันพุธนี้ ข่าวดีคือ ลิเวอร์พูล จะได้ ดาร์วิน นูนเญซ และ อิบราฮิมา โคนาเต้ กลับมา รวมทั้งการลุ้นให้ ติอาโก้ อัลคันทารา หายจากอาการติดเชื้อที่หู ซึ่งเมื่อบวกกับตัวหลักที่มีอยู่ก็เกือบจะเป็นทีมที่สมบูรณ์อย่างที่ คล็อปป์ ต้องการ
ผลการแข่งขันที่ ซิตี้ กราวน์ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ หงส์แดง ต้องกลับมากอบกู้ศักดิ์ศรีของพวกเขาคืน อย่างน้อย ๆ การไม่แพ้ในเกมนี้จะสามารถการันตีการเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ต่อไป
เมื่อโอกาสมากถึงก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าในเกมต่อไป 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดจะได้รับบาดเจ็บหรือหายหน้าไปอีกหรือไม่…