ดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล จะโดนโชคชะตาเล่นตลกไม่เลิก เพราะหลังจากที่พวกเขาเพิ่งจะได้นักเตะตัวหลักกลับมาจากอาการบาดเจ็บ กลายเป็นว่าพวกที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีก่อนหน้านั้นดันเดี้ยงขึ้นมาเสียอีก
ก่อนเกมกับ อาร์เซนอล ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เพิ่งจะได้รับข่าวดีเมื่อพวกเขาได้ อิบราฮิมา โคนาเต้ กลับมาฟิตสมบูรณ์พร้อมช่วยทีมอยู่ข้างสนาม ไหนจะมี ดิโอโก้ โชต้า ที่รอคอยการประเดิมเป็นตัวจริงเป็นนัดที่ 2 แต่หลังจบเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นอกจากความพ่ายแพ้แล้วสิ่งที่ได้กลับมาด้วยคือ อาการบาดเจ็บของ 3 แข้งตัวหลักอย่าง หลุยส์ ดิอาซ, โจเอล มาติป และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
2 รายหลังยังพอหายใจหายคอได้บ้างเพราะมีผู้เล่นที่คอยทดแทนอยู่แล้ว แต่ที่น่าใจหายคือในรายของ ดิอาซ ที่ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้า ลิเวอร์พูล อยู่ในเวลานี้
แข้งโคลอมเบียนคือที่พึ่งในแดนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคือคนที่ยิงประตูตีเสมอ คริสตัล พาเลซ ทั้ง ๆ ที่เหลือ 10 คน และจ่ายให้ ดาร์วิน นูนเญซ ยิงตีเสมอ อาร์เซนอล เป็น 1-1 ในเกมล่าสุด แต่โชคไม่ดีที่เกิดอาการเดี้ยงที่หัวเข่า ซึ่งผลการสแกนออกมาว่าเราจะได้เห็นหน้าค่าตาอีกทีก็หลังฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
ระหว่างนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ คงต้องหาวิธีแก้ไขแนวรุกของเขาด้วยทรัพยากรที่เหลืออยู่ในมือภายใต้แท็คติก 4-2-3-1 และ 4-3-3 ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้สลับกันไปตามแต่สถานการณ์
และนี่คือ 5 ออปชั่นที่นายใหญ่ชาวเยอรมันสามารถเลือกใช้ได้
ตำแหน่งถนัดของ โชต้า
ตัวเลือกแรกที่น่าสนใจที่สุดคือ การใช้งาน โชต้า เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่เขาถนัดที่สุดตั้งแต่อยู่กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน จนกระทั่งย้ายมาเล่นที่ แอนฟิลด์ เมื่อ 2 ปีก่อน
โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลก่อนตอนที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน ได้รับบาดเจ็บและ ดิอาซ ยังไม่ย้ายมาร่วมทีม แข้งโปรตุกีสถูกส่งไปประจำฝั่งซ้ายพร้อมกับการโยก ซาดิโอ มาเน เข้าไปเล่นเป็นกองหน้าตัวกลาง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในเกมรุกด้อยลงไปแต่อย่างใด
สถิติจากเว็บไซต์ Transfermarket บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ตลอดอาชีพการค้าแข้ง โชต้า ลงเล่นเป็นปีกซ้ายมากที่สุดถึง 144 นัด และยิงประตูจากตำแหน่งนี้ได้มากที่สุดที่ 43 ประตูและทำได้ 24 แอสซิสต์ ดังนั้นจึงไม่เชื่อน่าประหลาดใจที่ คล็อปป์ จะใช้งานเขาแทนที่อดีตดาวเตะ ปอร์โต้ ในเกมถัดไป
วัดดวงกับ นูนเญซ
ออปชั่นถัดมาคือการจับเอา นูนเญซ ไปยืนริมเส้น ซึ่งเจ้าตัวก็เคยลงเล่นในตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ของถนัดซักเท่าไหร่ เพราะเมื่อดูจากสถิติที่ผ่านมาดาวเตะอุรุกวัยคือกองหน้าตัวเป้าโดยธรรมชาติ และเขาถูกจับไปเล่นปีกซ้ายเพียง 9 ครั้งเท่านั้นตลอดชีวิตการค้าแข้ง
หากแต่การย้ายออกจากเล่นริมเส้นอาจช่วยให้ดาวเตะวัย 23 ปีไม่ต้องเจอกับความกดดันจากตัวประกบเหมือนตอนยืนอยู่ตรงกลาง แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่นักเตะที่ไปกับบอลได้ดีเหมือน ดิอาซ แต่ก็อาจจะเป็นการสร้างพื้นที่ให้ตัวเองได้มากกว่าเดิม และสามารถดึงตัวประกบเปิดช่องว่างตรงกลางให้เพื่อนร่วมทีมได้สอดขึ้นมาประตู หรือแม้แต่ตัวเขาเองก็สามารถกระชากบอลเข้าไปทำเองได้ด้วย
ฟีร์มีโน สารพัดประโยชน์
บ็อบบี้ ฟีร์มีโน ถือเป็นนักเตะที่สามารถลงเล่นในตำแหน่งใดก็ได้ในแนวรุก แม้ว่าเขาจะถนัดการเล่นเป็นฟอลส์ไนน์หรือกองหน้าตัวหลอกก็ตาม แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่กับที่เราจึงได้เห็นเขาทุกจุดในสนาม
อันที่จริง ฟีร์มีโน เคยถูกจับลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในฤดูกาลแรกที่ได้คุมทีมอย่างเต็มตัวของ เยอร์เก้น คล็อปป์ หรือในซีซัน 2016-2017 ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงของการทดลองระบบทีมและการพยายามหาวิธีที่ดีที่สุดในการดึงศักยภาพของ ซาดิโอ มาเน และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ออกมา
การจับ บ็อบบี้ ไปยืนฝั่งซ้ายก็น่าสนใจไม่น้อย แต่สไตล์การเล่นจะเปลี่ยนไปเพราะเขาไม่ใช่นักเตะที่มีความเร็วหรือประเภทกระชากหาย คล็อปป์ จึงอาจจะต้องหันมาใช้ระบบ 4-2-3-1 เพื่อดึงประโยชน์จากแข้งบราซิลเลียนให้มากที่สุด
คาร์วัลโญ ออปชันเสริม
เจ้าหนู ฟาบิโอ คาร์วัลโญ เคยได้รับโอกาสในการลงเล่นฝั่งซ้ายก่อน หลุยส์ ดิอาซ มาแล้วในเกมที่เสมอกับ ไบรท์ตัน 3-3 แต่นัดนั้นเขาเล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่สามารถพาบอลทะลุทะลวงเข้าไปในกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้ามได้ จนกระทั่งต้องเปลี่ยนเอาแข้งโคลอมเบียนลงมา เกมรุกจึงดูดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงนัดแรกของเจ้าตัวและเป็นการเล่นในระบบ 4-3-3 แต่หาก คล็อปป์ ยังคงใช้ 4-2-3-1 ดาวรุ่งโปรตุกีสก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะในรูปแบบนี้แนวรุก 3 คนหลังกองหน้าสามารถเคลื่อนที่สลับไปมาได้ การถูกจับไปยืนด้านซ้ายก็ไม่ใช่การเล่นแบบปีกธรรมชาติเหมือนระบบเดิม ซึ่งจะทำให้เขามีพื้นที่ในการสร้างสรรค์เกม และสอดเข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อหาจังหวะทำประตูได้ด้วย
พึ่งประสบการณ์ของ ซาลาห์
ถ้าจะบอกว่าใครคือแนวรุกที่น่าจะพึ่งพาได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คงต้องชี้ไปที่ โม ซาลาห์ แม้ว่า 8 เกมที่ผ่านมาเขาจะยิงได้แค่ 2 ประตู แต่เจ้าตัวยังคงแสดงให้เห็นถึงความอันตรายและยังเป็นผู้เล่นที่มีสถิติมีส่วนร่วมกับเกมมากที่สุดในทีม
แม้ว่าตำแหน่งที่ถนัดที่สุดจะเป็นริมเส้นฝั่งขวา ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 4 สมัย แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยไปยืนด้านซ้ายเลย และด้วยเทคนิค ความเร็ว รวมทั้งประสบการณ์ในวัย 30 ปีน่าจะทำให้ ซาลาห์ เอาตัวรอดในการลงเล่นตำแหน่งดังกล่าวได้ ในขณะที่ด้านขวาก็สามารถใส่ชื่อของ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ที่ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ฝั่งขวามาตั้งแต่เปิดฤดูกาล ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
แม้จะดูเหมือนว่า คล็อปป์ มีออปชันมากมายในมือ แต่หากมองที่สถิติการยิงประตูที่ผ่านมา การเลือกใช้ ดิโอโก้ โชต้า แทนที่ หลุยส์ ดิอาซ น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ภายใต้ระบบ 4-2-3-1 ส่วนที่เหลือคือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ดาร์วิน นูนเญซ ลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าเหมือนเดิม ซึ่งดูแล้วประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเท่าไหร่นัก
นอกจากนั้นสิ่งสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องทำคือการปลุกให้ลูกทีมกลับมาโฟกัสที่เกมการแข่งขันมากขึ้นและเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็ว ประคองตัวให้ผ่านพ้นวิกฤติไปจนถึงเดือนมกราคมให้ได้ จากนั้นต้องลงทุนในตลาดซื้อขายเพื่อพาทีมกลับมาในจุดที่ควรจะเป็นต่อไป