การเก็บ 3 แต้มในเกมที่เจอกับ นอริช ซิตี้ เมื่อคืนก่อนที่ผ่านมานั้น ถือเป็นแต้มสำคัญสำหรับ ลิเวอร์พูล ในชั่วโมงนี้
หลายคนอาจเถียงว่า จริง ๆ มันก็สำคัญหมดนั่นแหละถ้าต้องการลุ้นแชมป์ แต่ก็ต้องบอกว่ามันสำคัญขึ้นเป็นหลายร้อยเท่าเมื่อเกมคู่ต่อมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านแพ้ให้กับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
ว่ากันถึงเกมกับ นอริช เมื่อคืนกันก่อน เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการโรเตชั่นหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะแผงหลังที่เหลือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เอาไว้เพียงคนเดียวจากเกมที่บุกไปเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน เมื่อกลางสัปดาห์ นอกนั้นถูกสลับหน้ากันลงสนามทั้ง โจเอล มาติป กลับมาประจำการแทน อิบราฮิมา โคนาเต้ และ 2 ฟูลแบ็คกลายเป็น คอสตาส ซิมิคาส กับ โจ โกเมซ ที่ถูกส่งลงมาแทน แอนดรูวส์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์
ส่วนแดนกลาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงอีกครั้ง ขนาบด้วย นาบี เกอิต้า และ อเล็กซ์–อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน ในขณะที่เกมรุกใช้พวกตัวจี๊ดทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ดิอาซ, ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ดูเผิน ๆ ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่เมื่อเริ่มเกมขึ้นมากลายเป็นว่า ทีมเยือนทำเกมบุกได้น้ำได้เนื้อมากกว่า มีลูกหวาดเสียวตั้งแต่ 5 นาทีแรก แถมยังโต้กลับได้น่ากลัวเป็นระยะ ส่วนเจ้าบ้านกว่าจะเซ็ตเกมตัวเองได้ก็ผ่านไป 10 กว่านาที
เกมนี้ ดีน สมิธ กุนซือผู้เคยพา แอสตัน วิลลา ไล่ถล่ม ลิเวอร์พูล 7-2 เมื่อซีซันก่อนเตรียมแท็คติกมาค่อนข้างจะเซอร์ไพรส์พอสมควร เขาให้ลูกทีมไล่บดขยี้แดนกลาง หงส์แดง ตั้งแต่นาทีแรก เพื่อไม่ให้ครองบอลนาน และให้แผงกองหน้าเพรสสูงใส่คู่เซ็นเตอร์รวมทั้ง อลิสซอน เบ็คเกอร์ นั่นจึงทำให้ หงส์แดง ทำอะไรได้ไม่ถนัดในช่วงต้นเกม ซึ่งการจบ 0-0 ใน 45 นาทีแรกถือว่าบรรลุเป้าหมายของ สมิธ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
สถิติที่ออกมาอาจจะต่างกันชัดเจน ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงมากกว่า 15 ตรงกรอบ 4 ครั้ง ในขณะที่ นอริช แม้โอกาสจะไม่เยอะแต่ก็มีจังหวะอันตรายสร้างความหวาดเสียวได้ 2-3 ครั้ง ทั้งลูกที่ ตีมู ปุ๊กกี้ หลุดเข้าไปยิงเฉี่ยวเสาสองออกไป และลูกที่ยิงเข้าแต่ล้ำหน้าไปนิดเดียว แต่เกมในภาพรวมเจ้าบ้านเล่นได้ไม่ดีนัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพวกเขาไม่มีฟูลแบ็คที่สนับสนุนเกมรุกอย่าง ร็อบโบ้ และ เทรนท์ อยู่ในทีม ทำให้การโอเวอร์แลบขึ้นมาช่วยเกมรุกรวมทั้งการหวังผลจากลูกครอสหรือลูกตั้งเตะเหมือนเกมในนัดก่อน ๆ ไม่ค่อยมีให้เห็น ลดความอันตรายในเกมรุกไปพอสมควร
และเมื่อลงมาเล่นในครึ่งหลังไม่ถึง 3 นาที ทำนบของ ลิเวอร์พูล ก็มาแตกจนได้เมื่อ มิโลต์ ราชิซ่า ได้ยิงจากนอกกรอบเขตโทษบอลไปโดนขาของ มาติป ที่พยายามจะบล็อค เปลี่ยนทางเข้าไปตุงตาข่าย ซึ่งตอนนั้นเด็กหงส์หลายคนคงคิดว่า เอาแล้วไง บอลแบบนี้ บุกเยอะ ยิงไม่คม เสียประตูก่อน ช่วงที่เหลือต้องลำบากรากเลือดแน่ ๆ
หลังจากที่พักไปเกือบ 5 เดือน แข้งวัย 18 เพิ่งได้กลับมาลงเล่นอีกครั้งในเกม เอฟเอคัพ ที่เจอกับ คาร์ดิฟ ซิตี้ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถยิงประตูได้ด้วย นับเป็นการคัมแบ็คในฝันก็ว่าได้ แต่คงไม่มีใครคิดว่าในเกมนัดสำคัญและเกมใหญ่อย่างการออกไปเยือน อินเตอร์ มิลาน เมื่อคืนวันอังคาร คล็อปป์ จะให้ เอลเลียต ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเคียงข้าง ติอาโก้ อัลคันทารา และ ฟาบินโญ ตั้งแต่นาทีแรก
แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เกมของเจ้าบ้านแม้จะได้ครองบอลมากขึ้นตามรูปเกมแต่ก็ยังหาช่องเจาะลำบาก จนกระทั่งเมื่อ คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 62 ทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ
แชมเบอร์เลน และ เกอิต้า ถูกเปลี่ยนออก โดยมี ติอาโก้ และ ดิว็อค โอริกี ลงสนามไปแทน พร้อมกับการปรับเกมเป็น 4-2-4 ซึ่งก็ช่วยสร้างความแตกต่างได้มากและหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาได้ประตูตีเสมอ และยิงอีก 2 ลูกแซงเข้าป้ายเก็บ 3 คะแนนอันมีค่าสำเร็จ
ต้องยอมรับกันว่าเป็นอีกเกมหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล เล่นได้ไม่ดีนัก เช่นเดียวกับช่วง 2-3 เกมหลังที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็มีทีเด็ดอยู่ที่พวกตัวสำรองที่สามารถลงมาสร้างความแตกต่างและเปลี่ยนเกมทำให้ทีมสามารถเก็บชัยชนะได้
ซึ่งไอ้โมเม้นท์แบบนี้แหละที่เค้าเรียกว่า “โมเม้นท์ของแชมเปี้ยน” คือเล่นไม่ท็อปฟอร์มเท่าไหร่ แต่สามารถเก็บชัยชนะได้เรื่อย ๆ แถมมีนักเตะที่เป็นทีเด็ดที่ช่วยพลิกเกมได้ตลอด จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในยุค 90 ยังไงยังงั้น
อันที่จริงก็ไม่อยากจะคิดไปไกลมาก แต่เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะแข็งแกร่งและตายยากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่ทีมไร้ซึ่งหัวอกอย่าง ซาลาห์ และ มาเน พวกเขาก็ยังมี ดิโอโก้ โชต้า, ทาคุมิ มินามิโนะ, อ็อกซ์เหลด แชมเบอร์เลน และเจ้าหนู เคด กอร์ดอน ที่ผลัดกันโชว์ฟอร์มคนละนัด 2 นัด พอเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ได้ตัว หลุยส์ ดิอาซ มาก็ไม่ต้องปรับตัวนาน เล่นเข้ากับทีมได้เลย และกลายเป็นออปชั่นในแดนหน้าได้ ทำให้เกมรุกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีมิติมากขึ้น
ตอนนี้เราคงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาตัวสำรองไม่พอหรือศักยภาพทดแทนกันไม่ได้ เพราะเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าระบบการเล่นของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน
หลังเก็บชัยชนะในเกมที่เล่นไม่ดีหรือเกมยาก ๆ ได้ เรียกได้ว่าโมเมนตั้มและกำลังใจในทีมกำลังมา นักเตะกำลังคึก ยิ่งมาเห็นผลการแข่งขันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แพ้คาบ้านให้กับ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่พูดถึงการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อย่างเต็มตัวแน่นอน
หากคิดเข้าข้างตัวเองซักหน่อย ช่วงนี้กร๊าฟของ ลิเวอร์พูล กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาอาจจะออกตัวได้อย่างกระท่อนกระแท่นในช่วงต้นซีซันแต่ก็ยังเกาะกลุ่มมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ทุกอย่างกำลังเป็นใจและเข้าทางปืน ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นผู้นำมาตลอดช่วง 2-3 เดือนหลัง จากที่นำห่างหลัก 10 แต้มตอนนี้เหลือเพียง 6 คะแนนและถ้า หงส์แดง เก็บตกนัดที่เหลือได้ก็จะเหลือแค่ 3 แต้ม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา น่าจะใจเสียไปไม่น้อยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม, ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับ ลิเวอร์พูล เองว่จะรักษาโมเมนตั้มนี้เอาไว้ได้นานขนาดไหน เพราะช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขาที่จะโกยแต้มไล่กวดจ่าฝูง
แต่ถ้าเกิดพลาดทำคะแนนตกหล่นขึ้นมา โมเมนตั้มที่กำลังดี ๆ จะเหวี่ยงกลับไปที่ เรือใบสีฟ้า อีกครั้ง และคราวนี้ หงส์แดง อาจจะไม่มีทางแก้ตัวอีกเลยก็เป็นได้