เกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้เมื่อคืนนี้คงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายโดยเฉพาะผลการแข่งขัน
หากวัดกันตำแหน่งต่อตำแหน่งแล้ว เอฟเวอร์ตัน ไม่มีทางเลยที่จะสู้กับ ลิเวอร์พูล ทีมบ้านใกล้เรือนเคียงได้ เราจึงได้เห็นการครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียวของฝั่งสีแดง ในขณะที่ฝั่งสีน้ำเงินจำเป็นต้องลงไปตั้งรับลึกเพื่อหวังใช้เกมโต้กลับเข้าแลก
นั่นคือรูปเกมที่ หงส์แดง เจอมาประจำแทบจะเกือบทั้งซีซัน เมื่อพวกเขาต้องเจอกับทีมที่เป็นรอง และยิ่งมาเยือน แอนฟิลด์ ด้วย น้อยทีมนักที่จะกล้าเปิดหน้าแลกกับเจ้าบ้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้จึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมซักเท่าไหร่ แต่กลายเป็นว่าที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ ก็คือแท็คติกของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ต่างหาก
เข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการแต้มในเกมนี้ ขนาด “ซูเปอร์แฟรงค์” เองยังยอมรับกับนักข่าวก่อนเกมว่า ได้ 1 คะแนนเขาก็เอา เมื่อดูจากสถานการณ์ของทีมในเวลานี้
ก่อนเริ่มเกม เดอะท็อฟฟี โดนเขี่ยลงไปอยู่อันดับ 18 ในโซนตกชั้นเรียบร้อยจากที่ เบิร์นลีย์ เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-0 โดยมี 31 คะแนนจากการลงเล่น 33 นัด ขยับขึ้นมาหายใจหายคออยู่อันดับ 17 แทน ในขณะที่ทีมของ แลมพาร์ด มี 29 คะแนนจาก 31 นัด นั่นหมายความว่าหากพวกเขาควัก 3 คะแนนออกจาก แอนฟิลด์ ได้ก็จะขึ้นไปแทนที่ เดอะเชอร์รีส์ เช่นเดิม
ดังนั้นในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้พวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต้ม นั่นคือที่มาของแท็คติกสุดเซอร์ไพรส์ที่กำลังจะพูดถึง
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะได้เห็นการใช้วิธีถ่วงเวลาสารพัดอย่างในเกมระดับ พรีเมียร์ลีก คือมันจะพอเข้าใจได้ถ้าเกิดขึ้นตอนช่วงท้ายเกม แต่นี่ เอฟเวอร์ตัน เล่นใช้ตั้งแต่นาทีแรกเสียอย่างนั้น
ในครึ่งแรกเราจึงได้เห็นภาพของ ริชาร์ลิซอน นอนเจ็บมากกว่า 3 ครั้ง หรือ จอร์แดน พิคฟอร์ด นอนกอดบอลแทบทุกจังหวะที่มีโอกาส ไหนจะเป็นการเตะติดดาบบรรดากองกลาง ซึ่งมาพร้อมกับการตั้งรับลึกในแดนตัวเอง และนี่คือสิ่งที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด สั่งการมาจากห้องแต่งตัวโดยตรง
แล้วก็ได้ผลตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อจบครึ่งแรกเสมอกันไป 0-0 โดยที่เจ้าบ้านยิงไม่ตรงกรอบเลยแม้แต่ลูกเดียว
เชื่อว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล ต้องหัวเสียไม่แพ้นักเตะที่โดนลูกตุกติกอยู่ตลอด แถมยังจะมีเรื่องมีราวกันอยู่หนสองหน ขนาด เยอร์เก้น คล็อปป์ เองยังออกมาบ่นหลังเกมว่า ทุกครั้งที่ พิคฟอร์ด ได้บอลเขาใช้เวลาไปถึง 5 นาที!
อย่างไรก็ตาม, ทีมที่เล่นเกมรับมักจะต้องเหนื่อยกว่าทีมที่เปิดเกมรุก เพราะโดยหลักแล้วนักเตะต้องตั้งสมาธิอยู่ตลอดเวลา เผลอไม่ได้ หลุดไม่ได้ เพราะถ้าพลาดครั้งเดียวคือเสียประตู คือนอกจากจะเหนื่อยทางร่างกายแล้ว ยังต้องเหนื่อยกับการโฟกัสในเกมอยู่ตลอดเวลา
ต่างจากทีมที่พาบอลเข้ามาเพื่อยิงประตูที่อาจจะใช้แรงมากกว่า แต่พวกเขาไม่ต้องเพ่งมาก ขอแค่หาวิธีเอาบอลเข้าประตูให้ได้ ถ้ายิงไม่เข้าก็เอาบอลมาตั้งกันใหม่ แล้วบุกต่อ
ในครึ่งหลัง คล็อปป์ จึงปรับหมากเติมเกมรุกเข้าไปเต็มที่ด้วยการดันฟูลแบ็คทั้งสองข้างขึ้นสูง เพื่อสร้างโอกาสในการจบสกอร์ และเป็นอีกครั้งที่การเปลี่ยนตัวนำมาซึ่งผลการแข่งขันที่ต้องการ เพราะ 3 แข้งที่ถูกส่งลงมาในสนามทั้ง ดิว็อค โอริกี, หลุยส์ ดิอาซ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต่างมีส่วนกับ 2 ประตูที่เกิดขึ้น
ถามว่าสิ่งที่ แลมพาร์ด สั่งให้ลูกทีมทำในเกมนี้เป็นเรื่องผิดหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าในทางฟุตบอลไม่มีอะไรผิดกติกา ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าที่พวกเขาต้องแบบนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น การเจอกับ ลิเวอร์พูล ที่แข็งแกร่งทุกขุมกำลังและเป็นต่อสุดกู่ แถมเตะใน แอนฟิลด์ จึงไม่มีทางที่จะมาเปิดหน้าแลกแน่นอน
ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ อย่างน้อย เอฟเวอร์ตัน ก็ต้องมี 1 คะแนนกลับออกมาเพื่อต่อลมหายใจในการอยู่รอดใน พรีเมียร์ลีก เราจึงได้เห็น ซูเปอร์แฟรงค์ พยายามทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งเกมรุกของเจ้าบ้าน ซึ่งพวกเขาก็ทำสำเร็จเพียงแค่ 61 นาทีเท่านั้น
ถ้าย้อนกลับไปซัก 10 ปีก่อน เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แม็ตช์แบบนี้สามารถออกได้ 3 หน้าทั้ง ชนะ เสมอ แพ้ เพราะตอนนั้น หงส์แดง ไม่ได้แกร่งทั่วแผ่น ในขณะที่ ท็อฟฟี ก็มีลูกบู๊ลูกดุดันตามสไตล์บอลอังกฤษโบราณเข้าสู้ เกมจึงเต็มไปด้วยความมันและมีเรื่องราวให้พูดถึงมากมาย
แต่เกมเมื่อคืนกลายเป็น เอฟเวอร์ตัน ยอมใช้แท็คติกที่เน้นเกมรับอย่างเต็มสูบพร้อมลูกตุกติกที่ใส่มาเต็มที่ บางคนถึงขนาดเปรียบเทียบว่าพวกเขาเล่นเหมือน แอตเลติโก้ มาดริด ที่ขึ้นชื่อว่าทีมเจ้าแห่งแท็คติกตัวพ่อของวงการเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เราก็คงไม่อาจจะไปดูแคลนพวกเขาได้ เพราะในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่จะตกชั้นแบบนี้ ก็คงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอดเหมือนกัน