หากใครติดตามฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ตั้งแต่เริ่มก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1992 (ไม่นับฟุตบอลดิวิชัน 1 ซึ่งเตะกันมาตั้งแต่ปี 1888) จะทราบดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่ครองความยิ่งใหญ่มาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โดยพวกเขาคว้าแชมป์ได้มากที่สุด 13 ครั้ง และแน่นอนว่าย่อมต้องมีคู่ปรับมากหน้าหลายตาขึ้นมาท้าทายกันเป็นระยะ
ไล่ไปตั้งแต่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, นิวคาสเซิล, อาร์เซนอล, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมเหล่านี้คือคู่แข่งที่ก้าวขึ้นมาแย่งแชมป์จากทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งผลที่ออกมาก็มีทั้งแพ้บ้าง ชนะบ้าง สลับกันไป
แต่ถ้าให้พูดถึงการเป็นคู่ปรับที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก เราคงนึกถึงการห้ำหั่นหันของ เซอร์เฟอร์กี้ กับ อาร์แซน เวนเกอร์ ในช่วงปี 1996-2004 และจากนั้นก็เป็น เซอร์เฟอร์กี้ กับ โชเซ มูรินโญ ในช่วงปี 2004-2008 รวมทั้งอาจจะมีช่วงคาบเกี่ยวสั้น ๆ ระหว่าง เวนเกอร์ กับ มูรินโญ ในปี 2003-2004 ด้วย
ถือได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นการแย่งแชมป์มีความร้อนระอุอยู่ตลอดเวลาและถูกผูกขาดด้วยผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ถึง 3 คน หากแต่หลังจากที่ท่านเซอร์วางมือ จ่ามูโดนไล่ออก เวนเกอร์ประกาศรีไทร์ เราก็ไม่ค่อยได้เห็นการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวระหว่างยอดโค้ชแบบนั้นอีก
จนกระทั่งการมาถึงของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในปี 2015
ทั้งคู่ได้รับการยอมรับมาก่อนหน้านี้ว่าคือโค้ชหนุ่มฝีมือดีของวงการ โดยเฉพาะนายใหญ่ชาวคาตาลันที่สร้างผลงานอันเอกอุไว้กับ บาร์เซโลนา มาก่อนหน้านี้ ทั้งแชมป์ ลาลีก้า 3 สมัยในปี 2009-2011และแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัยในปี 2009 และปี 2011
คล็อปป์ เองก็ได้รับการพูดถึงจากการพา ดอร์ทมุนด์ โค่น บาเยิร์น มิวนิค ขึ้นครองแชมป์ บุนเดสลีกา ได้ 2 ปีติดต่อกันในช่วงปี 2011-2012 และเข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2013 แต่อกหักพ่าย เสือใต้ ไปอย่างน่าเจ็บปวด
การย้ายมาทำงานใน พรีเมียร์ลีก ของทั้งคู่จึงถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับแฟนบอลอังกฤษและสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลทั่วโลก และเป็นการเปิดตลาดให้กับบรรดายอดกุนซือจากทั่วทุกสารทิศได้พาเหรดเข้ามารับงานในเมืองผู้ดีกันอย่างคับคั่ง
อย่างไรก็ดี, ทั้ง คล็อปป์ และ เป๊ป ก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าพวกเขาคือ “ของจริง”
เป๊ป ทดลองระบบการเล่น ซื้อตัวนักเตะที่ต้องการ และใช้เวลา 1 ปีพา แมนฯ ซิตี้ ขึ้นครองแชมป์ได้สำเร็จจากนั้นก็ตามมาอีก 2 สมัย โดยทำได้ในซีซัน 2017-2018, 2018-2019 และ 2020-2021
ในขณะที่อดีตกุนซือเสือเหลืองใช้เวลาในการสร้างทีม 3 ปีครึ่งก็สามารถคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปี 2019 และต่อด้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล ในซีซัน 2019-2020
เมื่อดูจากเส้นทางความสำเร็จของทั้งคู่ เราจะพบว่าพวกเขากลายเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์กันอย่างจริงจังนับตั้งแต่ซีซัน 2018-2019 เป็นต้นมา โดยเป็นปีที่ทีมเรือใบสีฟ้า กลายเป็นแชมป์ โดยมีแต้มห่างจาก หงส์แดง เพียงคะแนนเดียว
จากนั้นก็อย่างที่เราได้เห็น ทั้ง 2 สโมสรต่างสร้างรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทีมหนึ่งคือทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์และเน้นการครองบอล จ่ายบอลสวยงามแบบเท้าสู่เท้า ยิงประตูคู่แข่งเป็นกอบเป็นกำ อีกทีมหนึ่งสร้างสตาร์ของตัวเองและทำให้ผู้คนรู้จัก “เกเก้นเพรสซิง” อันโด่งดัง ซึ่งทั้งคู่ยังสร้างสถิติมากมายให้กับ พรีเมียร์ลีก อีกด้วย
ด้วยสไตล์ฟุตบอลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพร้อมด้วยความสำเร็จมากมายทำให้ทั้ง เป๊ป และ คล็อปป์ ถูกยกให้เป็นผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกลูกหนังไปเรียบร้อย
การต่อสู้เพื่อแย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในช่วง 3 ปีกว่า ๆ มานี้จึงเป็นอะไรที่สูสีและน่าตื่นเต้นมากที่สุดครั้งหนึ่งของโลกลูกหนัง
นั่นทำให้ เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลัง เร้ดแมชชีน เชื่อว่านี่คือ “แม็ตช์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ” เหนือกว่าคู่แข่งใด ๆ ทั้งปวงที่ผ่านมา เพราะทั้ง 2 ทีมไม่ใช่แค่ทีมที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ลีก เท่านั้น แต่พวกเขาคือทีมที่ดีที่สุดในโลกด้วย
“การพบกันของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีความเข้มข้นมากที่สุด และเป็นคู่แข่งที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ”
“พวกเขามีเอกลักษณ์ส่วนตัว นี่คือครั้งแรกที่ 2 ทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษคือ 2 ทีมที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งนำทัพโดย 2 ผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในยุคนี้ด้วย”
“แฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และ เชลซี อาจมองว่าในอดีตนั้นทีมของพวกเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และมีหลายเกมที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ หลายคนอาจจะบอกว่าเกมในช่วงที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์ กำลังพีคนั้นก็เต็มไปด้วยคุณภาพและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมจากแฟนบอล”
“แต่สำหรับผมแล้วถ้ามองไปที่การแข่งขันในระดับยุโรป แม้ว่าทั้ง แมนยู และ อาร์เซนอล จะแย่งชิงความเป็นหนึ่งใน พรีเมียร์ลีก อย่างดุเดือดก็ตาม แต่ถามว่าในเวลานั้นพวกเขาคือทีมที่ดีที่สุดในยุโรปจริงหรือ?”
“พวกเขาเหนือกว่า เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน หรือเปล่า? ไม่เลย การเจอกันของ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล เป็นเพียงการต่อสู้กันในประเทศเท่านั้น”
สิ่งที่ คาร์ราเกอร์ พูดอาจจะไม่เกินเลย เมื่อดูจากโปรแกรมของทั้ง 2 ทีมที่ต่างมีลุ้นมากกว่า 1 แชมป์ด้วยกันทั้งคู่ แถมมีคิวต้องโคจรมาเจอกันใน เอฟเอคัพ รอบตัดเชือกอีกต่างหาก
ดังนั้น เกมในวันอาทิตย์นี้อาจไม่ใช่เกมที่ตัดสินแชมป์ พรีเมียร์ลีก เท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นเกมที่ชี้วัดความสำเร็จของทั้งคู่ในฤดูกาลนี้เลยก็ได้…